ยึด พปชร.ต่อท่ออำนาจ ความจริงก็เป็นเรื่องปกติของนักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองต่างๆ ยิ่งมีอำนาจได้เป็นแกนนำรัฐบาล
เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐจึงมีความสำคัญยิ่ง
หลังจาก “สมคิดและ 4 กุมาร” ได้ออกจากพรรคไปแล้ว โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “พี่ใหญ่” ได้เข้ามาเป็น หัวหน้าพรรคเต็มตัว
สิทธิขาดทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือ “พี่ใหญ่” ซึ่งมิใช่แค่ในพลังประชารัฐเท่านั้น แต่ยังกินรวบไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล
พูดง่ายๆว่าบารมีเหนือ “ผู้จัดการรัฐบาล” ที่ผ่านมา
เพราะมีความครบเครื่องทุกอย่างเพียงแค่อายุมากและสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก แต่เรื่อง “ใจถึงพึ่งได้” หายห่วง
ทว่า ในพรรคที่แม้ทุกคนให้ความเคารพนับถือหัวหน้า พรรคที่แม้ว่าจะเพิ่งเข้ามาสู่สนามการเมืองในท่ามกลางความขัดแย้งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมประเทศ
พูดไปแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายต่อการรักษาอำนาจ
อีกทั้งแม้ว่าจะกุมสภาพราชการได้ทั้งระบบก็ยิ่งเสริมส่ง ต่อการบริหารประเทศในทุกด้าน ไม่ใช่แค่กองทัพเท่านั้น
แต่ยังหมายรวมไปถึงระบบทั้งระบบ โดยเฉพาะกลไก กระทรวงมหาดไทยที่มีบทบาทไปทั้งประเทศ
นี่แหละข้อเด่นของ “3 ป.”...
แต่เมื่อเข้ามาสู่ระบบการเมืองที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงอย่างปัจจุบันก็ต้องปรับตัวให้อยู่ในเนื้อเดียวกันให้ได้
“พรรคการเมือง” จึงมีความจำเป็นที่จะเป็นเรื่องที่ต้อง ให้ความสำคัญลำดับต้นๆ เพราะจะเป็นฐานสำคัญทางการเมือง
จริงๆแล้วพลังประชารัฐนั้นแม้จะยังไม่นิ่งเสียทีเดียวเพราะทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนเพื่อให้เข้าที่เข้าทาง
...
ส่วนหัวคือ “บิ๊กป้อม” คงไม่ต้องห่วง เพราะมีความ สามารถเฉพาะตัวที่ต่างก็ยอมรับว่าไม่ธรรมดา
ทำหน้าที่ “พี่ใหญ่แห่ง 3 ป.” ได้อย่างยอดเยี่ยม
ก้าวจากนี้ไปถือว่าจะเป็นก้าวสำคัญที่จะพิสูจน์ว่าเก่งกาจขนาดไหน เมื่อจำเป็นที่จะต้องทำให้พรรคแข็งแกร่งจริง
“แม่บ้านพรรค” จึงต้องได้คนที่ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน
เท่าที่ติดตามความเคลื่อนไหว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กำลังแผ่บารมี และดูจะได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าพรรคเป็นอย่างยิ่ง
ที่สำคัญก็คือ จัดการเรื่องใหญ่ๆได้ค่อนข้างดี
ล่าสุดก็ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แม้พรรคจะไม่ส่งผู้สมัครแต่ให้การสนับสนุน
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ซึ่งจะลงสมัคร ในนามอิสระเท่ากับถือหางคนนี้อย่างเต็มตัว
ก็เป็นอีกเครือข่ายที่เรียกได้ว่า “คนกันเอง” ทั้งนั้น
พวกเขากำลังจะร่วมกันทำงานเพื่อชาติและราชบัลลังก์!
“สายล่อฟ้า”