“อภิสิทธิ์” อัดรัฐบาล สับสนนโยบายพลังงาน ย้ำกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันผลักภาระให้ประชาชน ชี้ "พร้อมพงศ์" ปูดมีขบวนการล้มรัฐบาลด้วยแผน 9 ข้อ เป็นการจุดประเด็นขัดแย้งในบ้านเมือง แนะธาริตทำคดีตรงไปตรงมาถือเป็นภูมิคุ้มกันดีที่สุด...

เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณีที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ เตรียมดำเนินการฟ้องศาลต่อศาลปกครอง หากรัฐบาลยืนยันจะลอยตัวก๊าซแอลพีจีภาคขนส่งในต้นปี พ.ศ. 2555 ว่า ตนไม่แน่ใจว่า กว่าจะถึงต้นปี นโยบายรัฐบาลจะเปลี่ยนอีกหรือไม่ เพราะแนวทางที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์วางไว้คือ ถ้ามีการแยกราคาขนส่งกับครัวเรือน จะเกิดปัญหาควบคุมได้ยาก กล่าวคือจะมีคนที่ซื้อก๊าซสำหรับใช้ครัวเรือนมาใช้ภาคขนส่ง ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น

พร้อมกันนี้เข้าใจว่า รัฐบาลมีแนวคิดที่จะออกบัตรเครดิต หรือคูปองให้กับผู้ใช้บางส่วน ตรงนี้จะทำให้เกิดปัญหาการตรวจสอบ จริงๆ แล้วทางที่ง่ายคือ ถ้าหากไม่อยากให้ภาคขนส่งมีปัญหากับการขึ้นราคาแอลพีจีคือ การไปเก็บภาษีที่ตัวรถว่า รถคันไหนใช้แอลพีจีหรือเอ็นจีวี ในอัตราที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ตนเห็นว่า นโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลเป็นนโยบายที่สับสน และขณะนี้จนถึงปีหน้าก็ทำให้เกิดความสับสนในหมู่นักลงทุน และความเชื่อถือพอสมควร เพราะการบอกว่าจะลอยตัว หรือกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันนั้นเท่ากับเป็นการผลักภาระให้กับประชาชน ซึ่งต้องถามว่าคุ้มค่าและเป็นธรรมหรือไม่ กับการที่ขณะนี้ส่งเสริมให้คนใช้เบนซิน

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวกรณี นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า มีขบวนการล้มรัฐบาลโดยมีการใช้แผนการ 9 ข้อว่า พรรคเพื่อไทยคิดแต่เรื่องแบบนี้ ขณะที่เอาปัญหาประชาชนมาทีหลัง จนทำให้เรื่องน้ำท่วม ของแพง ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะมัวแต่สาละวนอยู่กับความพยายามที่จะจุดประเด็นให้เกิดความขัดแย้งซ้ำในบ้านเมือง ตนคิดว่ารัฐบาลทำงานไปให้ดีก่อนเพราะเป็นรัฐบาลที่มาตามระบบรัฐสภาอยู่แล้ว

เมื่อถามถึงกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมายอมรับว่า จากนี้ไปหลายคดี อาจจะได้รับผลกระทบ เพราะต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะคดีก่อการร้าย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องอธิบายให้ชัดว่านโยบายคืออะไร ถ้าเป็นนโยบายที่ไปตามหลักการของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีข้อเท็จจริงที่ปรับเข้าได้ก็คงไม่เป็นไร ถ้าหากเป็นเรื่องของการทำไปให้ผิดหลักกฎหมายคงทำไม่ได้ และตัวอธิบดีหรือเจ้าหน้าที่เองก็ต้องระมัดระวัง เพราะในที่สุดตัวเองก็อาจตกเป็นจำเลยเสียเองก็ได้ ทั้งหมดอยู่ที่การปฏิบัติ

เมื่อถามย้ำว่า ยังมีความหวังในตัวนายธาริต มากน้อยขนาดไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หวังว่านายธาริตจะทำทุกอย่างตรงไปตรงมา ตนแนะนำเสมอว่า การทำอะไรตรงไปตรงมาถือเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด

...