มวลชนพรึบแยกราชประสงค์ ใช้รถกระจายเสียงเป็นเวทีกลางแยก ขึงภาพแกนนำราษฎรที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เผยบรรยากาศผ่อนคลายกว่าทุกครั้งไร้การ์ดแต่งชุดดำ ซ้ำจัดกิจกรรมคล้ายงานเฟสติวัล 3 แกนนำผลัดขึ้นปราศรัย เบญจาอ่าน จ.ม.เพนกวินจากในคุก ครูใหญ่จวกแหลก รบ.ประยุทธ์ ส่วนตำรวจ คฝ.ตั้งรับในที่ตั้ง แต่มีจุดคัดกรองป้องกันคนนำอาวุธเข้ามาป่วน นักข่าวประชาไทส่งทนายยื่นฟ้อง ตร.ขอศาลคุ้มครองนักข่าว-ผู้ชุมนุม ไม่ปิดกั้นเส้นทางสลายการชุมนุม ศาลยกฟ้อง ส่วน ผบ.ตร.ปัดขอโทษม็อบและคนทำผิดกฎหมาย ลั่นคนที่ทำผิดอย่าคิดว่าจบแค่นั้น ขณะที่ตำรวจขอนแก่นเตรียมไล่เช็กบิลม็อบกดดันตำรวจหน้าโรงพัก

จากเหตุชุมนุมทางการเมืองเรียกร้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมให้ลาออก ปฏิรูปสถาบัน และแก้ไข ม.112 รวมทั้งเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำที่ถูกจับกุม โดยการชุมนุมล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มี.ค. เกิดการปะทะถึงขั้นตำรวจต้องสลายการชุมนุม มีผู้บาดเจ็บหลายรายรวมทั้งสื่อมวลชนที่ถูกกระสุนยางบาดเจ็บ ขณะที่กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้นัดหมายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในวันที่ 24 มี.ค. สแตนด์บายพร้อมกันตามแนวรถไฟฟ้า BTS เพื่อรอประกาศสถานที่การชุมนุมในเวลา 13.00 น. ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

นัดชุมนุมแยกราชประสงค์ 5 โมงเย็น

ความคืบหน้าในการชุมนุมทางการเมืองล่าสุด เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 24 มี.ค. กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดยนายชนินทร์ วงศ์ศรี นายชลธิศ โชติสวัสดิ์ นายวัชรากร ไชยแก้ว และ น.ส.เบญจา อะปัน โพสต์นัดหมายนัดชุมนุมใหญ่ที่แยกราชประสงค์ เรียกร้องให้มีการปล่อยตัว 14 แกนนำและสมาชิกแนวร่วมกลุ่มราษฎรที่โดนคดี ม.112 อย่างไม่มีเงื่อนไข เรียกร้องให้รัฐสภาผลักดันการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยประกาศนัดชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ในเวลา 17.00 น.

...

แนวร่วมทุกสารทิศทยอยรวมตัว

ต่อมาเวลา 15.00น. กลุ่มมวลชนแนวร่วมกลุ่มราษฎร ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเรียนนักศึกษา เยาวชน และกลุ่มคนเสื้อแดงจากทุกสารทิศ ทยอยเข้าพื้นที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ริมฟุตปาทหัวโค้งฝั่งห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ปิดประตูทางเชื่อมสกายวอล์ก รถไฟฟ้าบีทีเอสของ 2 สถานี คือ สถานีสยามและสถานีชิดลม ช่วงหน้าห้างเกษรพลาซ่า ต่อเนื่องมาถึงเซ็นทรัลเวิลด์ และมาจนถึงหน้าวัดปทุมวนาราม ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่

ชุมนุมผ่อนคลายไร้การ์ดชุดดำ

ต่อมาเวลา 16.50 น. สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ มีการปิดพื้นที่ชุมนุมถนนราชดำริ ตั้งแต่แยกราชประสงค์ถึงแยกประตูน้ำ ส่วนบริเวณโดยรอบ รถราประชาชนสัญจรได้ตามปกติ ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลายต่างจากการชุมนุมทุกครั้ง เพราะไม่มีชายฉกรรจ์ชุดดำท่าทางขึงขังมาทำหน้าที่การ์ด มีเพียงกลุ่มการ์ด wevo ทำหน้าที่เป็นทีมสตาฟฟ์ แต่งกายแบบผู้ชุมนุมทั่วไป แต่ติดผ้าแถบสีเทาเป็นสัญลักษณ์ สำหรับตำรวจที่รักษาความปลอดภัยอยู่โดยรอบ ได้ถอยเข้าที่ตั้งในวัดปทุมวนารามและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ยังมีจุดคัดกรองร่วมกันบนถนนพระราม 1 หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ป้องกันผู้ไม่หวังดีนำอาวุธเข้ามาในพื้นที่ชุมนุม

ตั้งเวทีบนรถกระจายเสียงกลางแยก

มีรายงานว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้รถกระจายเสียงดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัยจอดกลางสี่แยกราชประสงค์ ขณะเดียวกันบริเวณพื้นที่ชุมนุมได้จัดกิจกรรมต่างๆ คล้ายงานเฟสติวัล อาทิ การแจกชอล์กสีให้ผู้ชุมนุมขีดเขียนข้อความลงบนพื้นถนน เขียนข้อความบนผืนผ้าดิบขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นการโจมตีรัฐบาล และข้อความต่อต้านมาตรา 112 พร้อมนำกระดาษพิมพ์ภาพใบหน้าของผู้นำประเทศมาวางบนถนนเพื่อให้ประชาชนที่เดินผ่านไปได้เหยียบ ส่วนที่บริเวณป้ายสี่แยกราชประสงค์มีการนำภาพแกนนำราษฎรที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมาปิดทับไว้ นอกจากนี้ผู้ชุมนุมได้ชูข้อความปล่อยเพื่อนเราและยกเลิกมาตรา 112 ชูภาพใบหน้าแกนนำผู้ถูกคุมขังและสลับกับการชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์และตะโกนคำว่าปล่อยเพื่อนเราผู้ชุมนุมรายหนึ่งมีการแต่งตัวในลักษณะแฟนซีชุดนักโทษมาตรา 112 ที่ถูกโซ่ตรวนรัดได้รับความสนใจจากประชาชนที่ผ่านไปมา

ตร.แจ้งเตือนชุมนุมผิด ก.ม.

พ.ต.อ.จักรกริศน์ โฉสูงเนิน ผกก.สน.ลุมพินี ได้แจ้งประกาศกับกลุ่มราษฎรที่ลงมาปิดถนน ห้ามชุมนุมในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมาย และเนื่องจากเป็นย่านใจกลางเมือง การประกาศเพื่อไม่ต้องการให้กระทบกับประชาชนที่สัญจรไปมา อยากให้คำนึงถึงประชาชนที่ใช้ในการสัญจรบริเวณนี้ พร้อมยืนยันว่าผู้ชุมนุมยังไม่ได้ยื่นแจ้งการจัดการชุมนุม ทั้งนี้ ถ้าตั้งรถปราศรัยถือว่าเป็นความผิดด้านจราจร หลังแจ้งประกาศเสร็จสิ้น มวลชนต่างตะโกนโห่ไล่ แสดงความไม่พอใจ

3 แกนนำเตรียมปราศรัย

กระทั่งเวลา 17.00 น. กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมได้เริ่มเปิดเวทีปราศรัยอย่างเป็นทางการ มีมวลชนได้ทยอยมาร่วมชุมนุมหนาตามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังกระจุกตัวแค่บริเวณถนนราชดำริช่วงหน้าศูนย์การค้าเกษรวิลเลจเท่านั้น สำหรับกิจกรรมการปราศรัยวันนี้ จะมีแกนนำคนสำคัญขึ้นปราศรัย 3 คนคือ น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ จากกลุ่ม ROOT, น.ส.เบนจา อะปัญ จากแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ จากพรรคก้าวล่วง (กลุ่มราษฎรโขง ชี มูล)

ไอลอว์จี้ผู้พิพากษาโชว์ความกล้า

นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมาย หรือไอลอว์ (iLaw) ได้ขึ้นปราศรัยคนแรก เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมาย ม.112 เพราะเป็นกฎหมายปิดปากทำให้ประชาชนไม่สามารถมีเสรีภาพในการพูด ทั้งที่การพูดไม่ทำให้ใครตาย อยากเรียกร้องให้ผู้พิพากษาใครสักคนแสดงความกล้าหาญสั่งปล่อยตัวผู้ต้องหาคดี ม.112 ทั้งหมด ตนไม่รู้ว่าจะทำได้เมื่อไหร่ แต่หวังว่าจะมีผู้กล้าหาญลุกขึ้นมาทำให้เกิดขึ้น ระหว่างนั้นกลุ่มศิลปะปลดแอกได้จัดกิจกรรมเขียนสี พ่นสีสเปรย์ เรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 และเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎรที่ถูกดำเนินคดีด้วย ข้อหาผิด ม.112 อย่างไม่มีเงื่อนไข เพื่อให้คนในสังคมรู้ว่ายังมีคนที่ยืนหยัดอยู่เคียงข้างกับพวกเขา

เบญจาอ่าน จ.ม.กวิ้นจากในคุก

กระทั่งเวลา 18.38 น. เวทีปราศรัยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ร้อนแรงขึ้นเมื่อ 3 ผู้ปราศรัยหลักของการชุมนุมทยอยขึ้นเวที เริ่มจาก น.ส.เบญจา อะปัญ หนึ่งในแกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ได้กล่าวสดุดีแกนนำและแนวร่วมกลุ่มราษฎรที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ พร้อมระบุว่า ไม่ว่าวันนี้ จะจับเพื่อนเราไปอีกกี่สิบกี่ร้อยคนเราจะไม่หายไปจะอยู่เคียงข้างประชาชนจนกว่าได้รับชัยชนะ วันนี้กลับมาชุมนุมที่ราชประสงค์อีกครั้ง แต่น่าเสียดายหากเพื่อนเราในเรือนจำไม่ได้เห็น ถ้าเห็นคงต้องดีใจ จากนั้นได้อ่านจดหมายที่นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ เขียนฝากทนายความออกมาจากเรือนจำ ใจความตอนหนึ่งว่า ในรอบ 1 ปีที่ร่วมต่อสู้มาเมื่อความจริงได้เปิดออกมา การต่อสู้ประชาชนมาถึงจุดที่ไม่มีคำว่าแพ้เหลือแต่ชัยชนะเท่านั้น ขอให้ทุกคนตามองไปที่เป้าหมายฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน ตนยังต่อสู้ข้างในคู่ขนานไปกับคนข้างนอก เมื่อถึงวันที่ประเทศ ไทยไม่มีการรัฐประหาร ไม่มีกฎหมายที่กดหัวประชาชน เราจะร่วมฉลองไปด้วยกัน

ครูใหญ่ขึ้นเวทีจวกแหลกบิ๊กตู่

ต่อมานายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ ตั้งฉายาตัวเองว่าเป็นหัวหน้าพรรคก้าวล่วง ขึ้นปราศรัยกล่าวบรรยายความผิดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยระบุอาทิ การทำรัฐประหาร ทำให้ประเทศอับอายในเวทีโลก เป็นแบบอย่างความชั่วให้เพื่อนบ้าน เป็นเผด็จการรวมศูนย์ไม่อาจตรวจสอบได้ เขียนรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ พอเราอ่อนกำลัง ฉวยโอกาสคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันนี้เรากลับมาแล้ว ขอถามไปยังพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ที่หาเสียงแก้รัฐธรรมนูญ หรือจะให้เราไปทวงถามหน้าที่ทำการพรรค รัฐบาลประยุทธ์ไม่เคยเห็นหัวประชาชน หนุนแต่นายทุน กู้มาแจก ฝากถามสลิ่มเกลียดจำนำข้าว แต่ไม่เกลียดซื้อเสียงล่วงหน้า นอกจากนี้ ยังขายชาติให้นายทุนจีนเช่าที่ดิน 99 ปี และรัฐบาลประยุทธ์ล้มเจ้า ดึงสถาบันเป็นคู่ขัดแย้ง จากการใช้ ม.112 รวมถึงถวายสัตย์ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ นายอรรถพลกล่าวถึงกรณีอัยการนัดสั่งคดี ม.112 จากการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีว่า ไม่ต้องห่วงตนจะเข้าไปอยู่ในเรือนจำ แต่ขอให้ทุกคนสู้ต่อไป เผด็จการจงวายป่วง พรรคก้าวล่วงจงเจริญ

แฟลชมือถือวิบวับ–ลุยจัดแฟลชม็อบอีก

จากนั้นนายธัชพงศ์ แกดำ หรือบอย พิธีกรเวทีปราศรัย ได้ชักชวนผู้ชุมนุมบนถนนราชดำริ ร่วมกันเปิดแฟลชโทรศัพท์พร้อมกันจนสว่างไสว พร้อมประกาศว่าการแสดงออกครั้งนี้สื่อให้เห็นว่าแฟลชม็อบที่เราเคยร่วมกันทำมาจะกลับมาอีกครั้ง ต่อไปนี้ในมหาวิทยาลัยหรือในโรงเรียน ขอให้จัดแฟลชม็อบได้เลย ทั้งกล่าวย้อนถึงอดีตที่ผ่านมาว่าเราชุมนุมมาแค่ 1 ปี ทำให้รากฐานความคิดของคนในสังคมได้เปลี่ยนไป แม้เผด็จการวางรากฐานความคิด ในประเทศไว้มายาวนานยังสู้ที่เราชุมนุม 1 ปีไม่ได้ จากนั้นได้เปิดเพลง “สหาย” ที่แต่งโดยจิ้น กรรมาชน หรือนายกุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ อดีตคนเดือนตุลา ก่อนชักชวนผู้ชุมนุมให้ร่วมร้องพร้อมกัน ต่อท้ายด้วยการตะโกนคำว่า “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” โดยนายธัชพงศ์ประกาศบนเวทีว่า แสงแห่งปฏิวัติขึ้นแล้วจะไม่มีวันสูญสลาย ไม่ว่าจะจับพวกเราไปกี่คน เมล็ดพันธุ์ของการปฏิวัติจะไม่ดับสูญ

คลิปเสียงปวินเร้าก่อนมายด์ขึ้นเวที

ต่อมาเวทีปราศรัยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตรฯได้เปิดคลิปเสียงนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ นักวิชาการที่หลบหนีคดี ม.112 ไปอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยกล่าวกับผู้ชุมนุมเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ และมาตรา 112 จนกระทั่งเวลา 20.25 น. เป็นไฮไลต์ของการชุมนุม เมื่อ น.ส.ภัสราวดี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ ขึ้นกล่าวบนเวทีปราศรัยว่า วันนี้สิ่งที่จะพูดเปรียบเหมือนการพูดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม และไม่มั่นใจว่าพรุ่งนี้หากอัยการมีคำสั่งฟ้องศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่ คือเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ควรเป็นประเด็นที่พูดถึงได้ ทั้งในแง่การสรรเสริญ และการวิพากษ์วิจารณ์ ในฐานะ ประชาชนขอเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขใน 3 เรื่องคือการทหาร การเมือง และเรื่องเศรษฐกิจ

ชวนออกมาถนนให้ถึง 1 ล้านคน

จนกระทั่งเวลา 20.55 น. น.ส.เบญจา อะปัญ เป็นตัวแทนกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ อ่านแถลงการณ์ก่อนยุติการชุมนุมใจความตอนหนึ่งว่า ความเคลื่อนไหวของประชาชนจากรั้วมหาวิทยาลัยสู่ท้องถนน เพื่อเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงกับพบกับการปราบปรามที่รุนแรง การใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อนของเราถูกยัดข้อหาและดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม แต่การต่อสู้ของเรายังคงดำเนินต่อไป ผู้ที่โหยหาสังคมที่ไร้เผด็จการจะลุกขึ้นมาต่อสู้ หนทางข้างหน้าต้องพึ่งพาความมานะและอดทน ตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้เผด็จการจะไม่มีวันชนะแม้ไม่อาจรู้ได้ว่าจะชนะเมื่อไหร่แต่จะสู้ต่อไป ขอให้ออกมาบนถนนให้ถึง 1 ล้านคน เพราะนี่คือศักราชใหม่ของปี 64 ที่จะสู้ต่อไม่ว่าจะมีแกนนำหรือไม่มี จากนั้นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศปิดเวทีและขอให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับเป็นกลุ่มทางฝั่งประตูน้ำโดยให้เหตุผลว่าอาจถูกผู้ไม่หวังดี ดักทำร้าย โดยเฉพาะที่บริเวณสี่แยกปทุมวัน

บิ๊กปั๊ดจี้หาตัวยุอยู่หลังม็อบ

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 14.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.กล่าวถึงความพร้อมในการรับมือผู้ชุมนุมที่บริเวณแยก ราชประสงค์ ในช่วงเย็นวันที่ 24 มี.ค.ว่า ความพร้อมมีอยู่แล้ว ถ้าจะฝาก ขอฝากเรื่องความรุนแรง ไม่มีประโยชน์ที่จะทำอย่างนั้น สำหรับยุทธวิธีเจ้าหน้าที่ตำรวจ คงต้องเป็นไปตามมาตรฐานของเรา วันก่อนได้นำตำรวจเข้าสนามตรวจสอบเรื่องการใช้อาวุธ เรื่องการยิงปืน เพื่อต้องการความแม่น เที่ยงตรงให้มากกว่านี้ ส่วนการชุมนุมจะมีใครอยู่เบื้องหลังหรือพยายามที่จะส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ตอนนี้เราดำเนินคดีมาโดยตลอด ใครที่ทำแบบนั้น มีการสืบสวนเชิงลึกและดำเนินคดี บางครั้งไม่ได้บอกว่าจะดำเนินคดีใครบ้าง แต่ก็จะเห็นว่ามีการจับกุมมาอย่างต่อเนื่อง กว่าจะจับได้ก็ต้องมีฐานการข่าว มีการสืบสวนสอบสวนเป็นระยะๆ จะเห็นว่าทำมาโดยตลอดและต่อเนื่องต่อไป คนที่กระทำผิดไปแล้วไม่ใช่ว่าจบแค่นั้น ฝากประชาชนให้ติดตามข่าวสารให้รอบด้าน เรื่องการใช้ความรุนแรงต้องขอย้ำอีกครั้งว่าไม่มีประโยชน์กับใคร โดยเฉพาะสังคมส่วนรวมไม่ได้อะไรเลย

ขอให้เข้าใจการทำงานตำรวจ

ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีอยากให้ตำรวจทำความเข้าใจให้ชี้แจงสิ่งที่ได้ทำลงไป อยากให้ประชาชนเข้าใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เราไม่ได้เป็นคนที่ก่อให้เกิดความรุนแรง เรามีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายตามความจำเป็นตามเหตุผล คิดแบบง่ายๆ ถ้าการชุมนุมอยู่หลังเครื่องกีดขวางอยู่ ท่านก็ชุมนุมทำกิจกรรมไป ถามว่าผิดกฎหมายไหม ต้องบอกว่าผิด แต่ถ้าจะต้องใช้กำลังเข้าทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ต้องดูว่าทำแล้วจะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยหรือไม่ ถ้าไม่สงบไม่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่อาจจะดำเนินคดีภายหลังได้ แต่หากรื้อเครื่องกีดขวาง แล้วเริ่มมีหนังสติ๊ก ลูกแก้ว ลูกหิน ก็ต้องใช้กำลังจับกุม เราปล่อยไม่ได้ หรืออยู่ใกล้พื้นที่สำคัญ วันนี้ก็ต้องดูว่าหากอยู่ในพื้นที่ที่ดูแล้วยังไม่เป็นอันตรายกับผู้อื่น ยังไม่เป็นอันตรายกับเจ้าหน้าที่ ก็ต้องทำความเข้าใจว่าคุณกำลังทำผิดกฎหมาย ต้องมีประกาศ มีขั้นตอนเตือน แต่จะใช้กำลังก็ต่อเมื่อเขาเริ่มเป็นอันตราย ยืนยันไม่ได้ว่าจะไม่มีน้ำหรือแก๊ส แต่ยืนยันได้ว่าเจ้าหน้าที่จะใช้ตามสถานการณ์ พยายามทำให้ทุกครั้งเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

ไม่ได้ขอโทษม็อบหรือคนทำผิด

“ทุกครั้งก็จะมีการทบทวนบทเรียน เรื่องยุทธวิธี เรื่องต่างๆที่จำเป็น เพราะเราต้องพัฒนาคนของเรา หากอะไรผิดก็ต้องแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ใช่ว่าไปขอโทษม็อบหรือไปขอโทษคนที่ทำผิด พวกที่ตั้งประเด็นไปอย่างนั้น ด้วยเหตุผลอะไรก็สุดแล้วแต่ท่าน แต่ทำให้คนเข้าใจผิด เป็นการทำลายความเชื่อถือของหน่วยบังคับใช้กฎหมาย ตนไม่ค่อยเห็นด้วย เลยต้องมาอธิบายกันใหม่ ส่วนกรณีที่ยื่นต่อศาลฟ้องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นสิทธิของท่าน เรามีหน้าที่ต้องนำชี้แจงเสนอข้อเท็จจริง อยู่ที่กระบวนการพิจารณาของศาล ไม่กังวลอะไร เราทำงานก็ต้องอยู่ในหลักในกติกา ถ้าเราอยู่ในหลักในกติกา สามารถตอบได้ทุกเรื่อง” ผบ.ตร.กล่าว

นักข่าวประชาไทยื่นฟ้องบิ๊กปั๊ด

เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ศาลแพ่ง นายศรายุทธ ตั้งประเสริฐ หรือกุ้ย ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวประชาไท มอบอำนาจให้ น.ส.จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความ นักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดตาม พ.ร.บ.รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 กรณีนายศรายุทธบาดเจ็บถูกกระสุนยางจากเหตุการณ์สลายชุมนุมกลุ่ม REDEM เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2564 คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเบื้องต้นเกี่ยวกับการชุมนุมตลอดจนเหตุการณ์ที่กล่าวหาว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์

คำฟ้องหลักๆห้ามสลายม็อบ

บรรยายฟ้อง แยกเป็นประเด็นได้ 4 ข้อว่า 1. ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยปิดกั้นทางสัญจรหรือสถานที่ต่างๆ ด้วยการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ลวดหีบเพลง หรือวัสดุอื่นใดในสถานที่ที่จะมีการชุมนุมสาธารณะ และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง 2. ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้จำเลยสลายการชุมนุม ห้ามข่มขู่คุกคามและใช้ความรุนแรงกับสื่อมวลชน ห้ามจำกัดพื้นที่หรือกีดกันสื่อมวลชน 3. ให้จำเลยตั้งกรรมการสอบสวนตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อลงโทษทางวินัย และห้ามมิให้ตำรวจที่ใช้ความรุนแรงปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนอีกจนกว่าจะได้รับการปรับปรุงพฤติกรรม 4. ให้จำเลยร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความอย่างสูงแทนโจทก์

ศาลยกฟ้องชี้เป็นเรื่องอนาคต

ต่อมาเวลา 18.50 น. ศาลแพ่งมีคำพิพากษาคดีนี้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำขอท้ายฟ้องข้อ 1เเละ 2 แม้โจทก์ฟ้องคดีโดยบรรยายฟ้องถึงเหตุการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มี.ค.64 แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งข้อ 1, 2 เป็นการขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองและตำรวจในสังกัดของจำเลยที่ 1 กระทำการหรือไม่กระทำการใดๆในเหตุการณ์การชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทุกครั้งที่จะมีการชุมนุม เป็นคนละเหตุการณ์กับที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 มี.ค.64 เป็นการขอให้บังคับเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต ศาลไม่อาจบังคับตามคำขอท้ายฟ้องทั้งสองข้อนี้ได้ สำหรับคำขอท้ายฟ้องข้อ (3) เห็นว่า การตั้งกรรมการสอบสวนตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อลงโทษทางวินัยและห้ามมิให้ปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะปรับปรุงพฤติกรรม เป็นกระบวนการทางวินัย เป็นอำนาจบริหารงานบุคคล ภายในหน้าที่ของจำเลยทั้งสองในฐานะผู้บังคับบัญชาของเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลยังไม่อาจมีคำพิพากษาหรือคำสั่งบังคับให้จำเลยทั้งสองตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ข้อ (3) พิพากษายกฟ้อง

เพนกวินวืดประกันรายวัน

ส่วนที่ศาลอาญา นางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ อายุ 51 ปี แม่นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวารักษ์ จำเลยคดีดูหมิ่นเบื้องสูง ร่วมกันมั่วสุมชุมนุมฯ ตามมาตรา 112, 116 ฯลฯ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 20,000 บาท ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ นายพริษฐ์ ที่ศาลอาญามีคำสั่งให้กักขัง 15 วัน ฐานละเมิดอำนาจศาล เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ได้ยื่นเอกสารประกอบการพิจารณาว่า ผู้ร้องเป็นมารดาโดยชอบของผู้ถูกกล่าวหา ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ต้องใช้เวลาเรียบเรียงคำอุทธรณ์ให้สมบูรณ์ และเหตุผลที่ศาลอาญายกคำร้องโดยก่อนหน้านี้อ้างว่า จำเลยถูกคุมตัวคดีอื่นอยู่แล้ว 2 คดี หากอนุญาตปล่อยชั่วคราวคดีนี้ก็ไม่เป็นเหตุให้ได้รับการปล่อยชั่วคราวคดีอื่นอีกนั้น ผู้ร้องเห็นว่า คำสั่งศาลยังคลาดเคลื่อน ไม่ตรงตาม ป.วิอาญา ม.108/1 เนื่องจากไม่มีเหตุผลตามที่บัญญัติไว้ และผู้ร้องเชื่อว่า ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยเป็นคุณกับผู้ถูกกล่าวหา ไม่น่าที่ผู้ถูกกล่าวหาจะได้รับโทษกักขัง 15 วันด้วย ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลอาญาเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวมาแล้ว จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง

ตร.ขอนแก่นเตรียมไล่เช็กบิล

อีกด้านหนึ่งเมื่อเวลา 13.30 น. ที่ สภ.เมืองขอนแก่น พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกูล ผบก.ภ.จ.ขอนแก่น ลงพื้นที่ให้กำลังใจตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น และร่วมกันทำความสะอาดโล่กำบัง อคฝ. ที่ถูกผู้ชุมนุมฉีดพ่นสเปรย์ใส่ โดย พล.ต.ต.พุฒิพงศ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค.64 สภ.เมืองขอนแก่น เรียกตัว 16 แกนนำราษฎรขอนแก่นมารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมที่มาให้กำลังใจ ทั้งนี้ การชุมนุมในสถานการณ์ที่อยู่ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ผู้ชุมนุมจะมีความผิดตามกฎหมาย รวมทั้งความผิด พ.ร.บ.ความสะอาด ฉีดพ่นสีสเปรย์สีลงบนพื้นถนนสาธารณะใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต และจะดูว่าข้อความต่างๆที่ไม่เหมาะสมอาจเข้าข่ายดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ยืนยันจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ในวันที่ 19 เม.ย. จะนัดส่งสำนวนให้อัยการจากกรณีที่แกนนำ 16 คน มารายงานตัวในวันที่ 22 มี.ค. หากมีการชุมนุมเกิดขึ้นอีก อาจจะเหมือนกับวันที่ผ่านมา จะมีการวางมาตรการเสริมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์รุนแรงหรือบานปลายได้

“บิ๊กตู่” ย้ำไม่ควรละเมิดสิทธิผู้อื่น

ส่วนความเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง เมื่อเวลา 11.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า การชุมนุมทางการเมืองมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาอีก ทุกคนต้องร่วมมือกันทำให้เด็กของเราเป็นคนดี ต้องเรียนรู้ว่าอะไรคือความถูกต้องความชอบธรรม อะไรคือประชาธิปไตยที่เป็นสากล ไม่เช่นนั้นก็พูดกันว่านายกฯเผด็จการ ถามว่าเผด็จการตรงไหน ความคิดของแต่ละคนห้ามไม่ได้ ไปบังคับใครไม่ได้ ต้องหาความร่วมมือระหว่างกันต่อไป ด้วยความเข้าใจกัน ถ้าอยากเห็นประเทศดีก็ต้องช่วยกัน ต้องทำให้ทั่วถึง เกิดความเป็นธรรม ต้องสร้างความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยว่าควรเป็นอย่างไรที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่ก่อหรือทำอะไรให้เกิดความวุ่นวาย และผิดกฎหมาย

เอ็ดสื่อ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่บ้าง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อไปว่า ส่วนการนัดชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เขาก็ประกาศไปสิ แล้วยังไง เมื่อถามย้ำว่าต้องสั่งการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ต้องเพิ่มเติม ไม่เห็นต้องสั่งทุกวัน เจ้าหน้าที่เขามีหน้าที่ทำงานอยู่แล้ว ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่บ้าง เขาเป็นเจ้าหน้าที่ไม่ได้อยากทำอะไรให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยอยู่แล้ว ดูสองทางสิอย่าดูด้านเดียว ทุกหน่วยงานมีความรับผิดชอบอยู่แล้ว จะต้องสั่งอะไร

“สิระ” กร้าวสั่ง กสม.หุบปาก

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ระบุการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆเพื่อขับไล่รัฐบาลขณะนี้เป็นไปอย่างถูกกฎหมายว่า ไม่สบายใจที่ กสม.ระบุการชุมนุมกระทำโดยถูกกฎหมาย ได้รับการคุ้มครองตามสิทธิ กสม.ได้ดูหรือไม่ว่าการชุมนุมละเมิดสิทธิผู้อื่น จาบจ้วงสถาบัน ทำร้ายตำรวจ กสม.เคยมีผลงานอะไรที่ทำงานคุ้มค่าเงินภาษีประชาชน อย่าพูดพล่อยๆอ้างสิทธิการชุมนุม การที่มี ส.ส.เข้าไปอยู่ในม็อบ การที่ศาลไม่ให้ประกันตัวแกนนำ ตำรวจออกหมายจับผู้กระทำผิด ล้วนหักล้างกับสิ่งที่ กสม.ระบุได้ทั้งหมด ถ้าจะแถลงแบบนี้ให้อยู่เฉยๆ หุบปากดีกว่า อยู่ไปก็เปลืองภาษี ควรยุบ กสม.ไปเลย

ยื่นสอบวิวาทะศิลปะเด็ก มช.

เวลา 10.15 น. ที่รัฐสภา นายนิธิพล ผิวเหมาะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อม น.ส.ชัญญรัชต์ บ่อคำ ศิษย์เก่าคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยื่นหนังสือต่อนายรงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ประธานอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านศิลปะและวัฒนธรรม กรณีผู้บริหาร คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เก็บผลงานศิลปะของนักศึกษาใส่ถุงดำ นายนิธิพลกล่าวว่า มายื่นร้องเรียนให้ กมธ.ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบ เรื่องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกผลงานศิลปะ หลังเกิดเหตุคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมผู้บริหาร บุกเก็บผลงานศิลปะของนักศึกษาใส่ถุงดำ อ้างผลงานมีความหมิ่นเหม่ทางการเมือง ไม่น่าใช่เหตุผลสมควร เพราะงานศิลปะไม่ว่าจะสื่อสารออกมาทิศทางใด คนอื่น ไม่มีสิทธิตัดสินว่าถูกหรือผิด นี่คือสิทธิเสรีภาพการแสดงออกด้านศิลปะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพศิลปินที่ต้องการแสดงออกทางความคิดผ่านผลงานศิลปะ ยื่นหนังสือให้ กมธ.ตรวจสอบ