รัฐบาล-ฝ่ายค้านตั้งวอร์รูมเผชิญหน้า “แรมโบ้” เรียกทีมผู้ช่วย รมต.ฟอร์มทีมซัพพอร์ตรัฐมนตรีที่ถูกขึ้นเขียง ทั้งเก็งข้อสอบ-หนุนข้อมูล ขู่ฟ้องดะถ้า “บิดเบือน-จาบจ้วง” “บิ๊กป้อม” ยักไหล่ “อันวาร์” ทำยึกยักโหวตสวน ก้าวไกลย้ำญัตติพุ่งเป้าที่ตัวนายกฯ-รมต. เอามั่งผุดวอร์รูมฯสกัดเกมตีรวนของรัฐบาล “วิโรจน์” สับขาหลอกพวกล้วงตับ เตือนระวังได้ข้อสอบปลอมไม่ตรงปก พท.แนะ “บิ๊กตู่” ปรับมุมคิดให้ทันโลก “ศรีฯ” จี้ กกต.สอบ “สิระ” แจกของมูลค่ารวมเกิน 3 ล้าน ศาลยกฟ้อง 3 นปช.คดีฆ่า “ร่มเกล้า”

เสียงปี่กลองประโคมโหมศึกซักฟอก เริ่มมีการทยอยปล่อยข้อสอบจากฝ่ายค้าน ล่าสุดทีมลูกหาบผู้ช่วยรัฐมนตรี เรียกประชุมตั้งทีมวอร์รูมเพื่อสนับสนุนข้อมูล และเก็งข้อสอบให้แก่บรรดารัฐมนตรีที่มีชื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมขู่ฟ้องร้องดะถ้ามีการบิดเบือนข้อมูล หรือจาบจ้วงเบื้องสูง

ตั้งวอร์รูมช่วย รมต.ถูกขึ้นเขียง

...

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ก.พ. ที่สำนักงาน ก.พ. (เดิม) ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะทำงานสนับสนุนผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ (สสอ.) โดยมี 12 ผู้ช่วยรัฐมนตรีเข้าร่วม อาทิ นายทศพล เพ็งส้ม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่กระทรวงพลังงาน นายนเรศ ธำรงค์ทิพยาคุณ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประพันธ์ ตั้งศรีทิพยคุณ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นต้น ต่อมานายสุภรณ์แถลงว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าต้องจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสนับสนุนรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้เห็นว่าผู้ช่วยรัฐมนตรีมาจากทุกพรรคร่วมกันรับผิดชอบ ไม่ได้เป็นการสั่งการจากนายกฯ คณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่สนับสนุนข้อมูลรัฐมนตรีทุกคนที่ถูกอภิปราย

ขู่ฟ้องดะถ้า “บิดเบือน-จาบจ้วง”

นายสุภรณ์กล่าวต่อว่า มีความกังวลที่ฝ่ายค้านไม่ยอมแก้ไขญัตติที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน เป็นการกล่าวเท็จและบิดเบือนข้อเท็จจริง ถือเป็นญัตติที่อัปยศจาบจ้วงสถาบัน ขออย่าได้อภิปรายก้าวล่วงสถาบัน หรืออภิปรายย้อนอดีต เป็นการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์เหมือนฉายหนังม้วนเก่า เสียเวลา รวมถึงหากมีการพาดพิงนายกฯ และ ครม.จะมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายไปร้องทุกข์ดำเนินคดี

ด้านนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บทบาทหน้าที่ของคณะทำงานชุดนี้ ไม่ใช่เพียงเฝ้าระวังการอภิปรายจาบจ้วงสถาบันเท่านั้น แต่รวมถึงการเก็งข้อสอบของฝ่ายค้าน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ และสังคม ต้องแม่นยำ บูรณาการร่วมกันของทุกพรรค ขณะที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ต้องตั้งวอร์รูมพรรคร่วม รัฐบาลคอยดูเรื่องเวลา การอภิปรายต้องเสร็จเป็นคนคนไป และรัฐมนตรีต้องเตรียมตอบทีเดียวให้ชัดเจน

“พี่ใหญ่” ยักไหล่ “อันวาร์” โหวตสวน

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายอันวาร์ สา และ ส.ส.ปัตตานี รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การโหวตในญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาลไม่จำเป็นต้องยึดมารยาททางการเมือง ว่า ก็แล้วแต่เขาจะคิด เมื่อถามว่ามั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐคุมเกมในสภาฯได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่รู้ ยังไม่รู้เลยว่าเขาคิดกันอย่างไร แต่พรรคร่วมรัฐบาลต้องร่วมมือกันนั่นแหละ เมื่อถามย้ำว่าถ้าพรรคร่วมรัฐบาลต้องร่วมมือกัน ทำไมพรรคพลังประชารัฐถึงไม่หลีกทางในการเลือกตั้งซ่อม พล.อ.ประวิตรตอบว่า “ก็คราวที่แล้วเราแพ้นิดหน่อย ครั้งที่แล้วก็สู้กันใช่หรือไม่ และคนเขาอยากลงจะทำอย่างไร คิดว่าเรื่องนี้จะไม่กลายเป็นปัญหาบานปลาย เพราะเป็นของจังหวัด”

“วิษณุ” ชี้ ครม.พร้อมรับมือเต็มที่

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ส่งญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมาให้รัฐบาล เพื่อสอบถามถึงความพร้อมของรัฐบาลว่า ทางทำเนียบรัฐบาลยังไม่ได้รับเรื่อง แต่คิดว่าสภาจะส่งมาภายในวันที่ 1 ก.พ. หากได้รับเรื่องจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 2 ก.พ. ทางรัฐบาลและสภามีการประสานงานมาก่อนแล้ว ครม.พร้อมไปชี้แจงตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. โดยนายกฯได้เลื่อนการประชุม ครม.จากวันที่ 16 ก.พ. มาเป็นวันที่ 15 ก.พ.แล้ว

กก.ย้ำญัตติพุ่งเป้านายกฯ-รมต.

ที่รัฐสภา นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และวิปฝ่ายค้าน กล่าวยืนยันว่าญัตติที่ฝ่ายค้านขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล เป็นการกล่าวหาพฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม รวมถึงบรรดารัฐมนตรีชัดเจน แม้แต่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ก็ไม่เห็นว่าผิดข้อบังคับและบรรจุญัตติให้ ส่วนกรณีที่ประธานวิปรัฐบาล และ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นห่วงเรื่องถ้อยคำที่อาจพาดพิงถึงสถาบันนั้น ยืนยันว่าเป็นการตีความญัตติที่กว้างเกินไป ญัตติของฝ่ายค้านเรากล่าวหาจากพฤติกรรมที่เห็นจากความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯและรัฐมนตรีฝ่ายค้านมีหน้าที่อภิปราย รัฐบาลมีหน้าที่ตอบชี้แจง ไม่รู้ว่าจะตีความญัตติของฝ่ายค้านเกินขอบเขตทำไม

ผุดวอร์รูมสกัดเกมตีรวนฝ่าย รบ.

นายพิจารณ์กล่าวต่อว่า ส่วนการเตรียมการของฝ่ายค้านรับมือเกมตีรวนของฝ่ายรัฐบาลนั้น จากการพูดคุยกันในการประชุมหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน 6 พรรค เห็นว่าตามกระบวนการไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขญัตติ ผู้อภิปรายต้องรับผิดชอบการอภิปรายของตัวเองอยู่แล้ว เบื้องต้นเรามีทีมวอร์รูมทั้งในและนอกห้องประชุม ประกอบด้วยบุคลากรจากวิปฝ่ายค้าน และผู้ใหญ่ของพรรคฝ่ายค้านแต่ละพรรค คอยประสานงาน หากเกิดการตีรวนหรือตอบโต้กันในทุกประเด็น จึงไม่น่าห่วงเรื่องการตีรวน

“วิโรจน์” สับขาหลอกพวกล้วงตับ

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิสร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขอยกตัวอย่างการส่งงูเห่าเข้ามาล้วงลับตับแตกข้อสอบ เคยเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มีหลายกรรมวิธี มีทั้งวิชามารสายขาว และสายดำ อาทิ สายขาว อาจให้ ส.ส.ใน กมธ.แต่ละคณะเสนอผลประโยชน์เพื่อแลกข้อสอบ ส่วนสายดำ ใช้วิธีข่มขู่ว่าจะยัดคดีความ จะฟ้องร้องหลังจบศึกซักฟอก เป็นต้น จึงเป็นเหตุผลที่พรรคก้าวไกลยังไม่เปิดเผยทั้งรายชื่อรัฐมนตรี และประเด็นการอภิปรายในส่วนของพรรคก้าวไกล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ทำหน้าที่อภิปรายโดนกระบวนการดังกล่าวคุกคามจนเสียสมาธิ จะเห็นว่าข้อมูลพรรคยังชักเข้าชักออก เพราะการรวบรวมหลักฐานเปลี่ยนแปลง รายวัน เช่น ชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข รวมถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ 3 ชื่อนี้บางวันก็มีชื่อ บางวันก็เอาออก เราไม่ได้สับขาหลอกเสียทีเดียว แต่เราต้องมั่นใจว่าคนที่จะถูกอภิปรายต้องมีเรื่องที่แจ่มแจ้งแดงแจ๋เท่านั้น

บอกให้ระวังได้ข้อสอบปลอม

นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า ไม่รู้ว่าการอภิปรายรอบนี้จะมีล้วงข้อสอบกันเหมือนครั้งอดีตหรือไม่ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา คนล้วงก็ต้องระวัง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้อสอบที่ได้ไปเป็นเวอร์ชันอัปเดตล่าสุดหรือไม่ ระวังล้วงฟรีได้ข้อสอบปลอม ถึงเวลาตอบคำถามหน้าซีดมือไม้สั่น คนพวกนี้สังเกตได้ไม่ยาก ขอให้ประชาชนจับตาดูแก๊งรัฐมนตรีเพาเวอร์พอยต์์สวยให้ดีๆแล้วกัน พวกที่ได้ข้อสอบปลอมจะอาการออก ตระเตรียมเพาเวอร์พอยต์อย่างดี กะจะมาพีอาร์ผลงานตัวเอง แต่พอขึ้นเวทียืนสะอึก ถามหมาตอบแมว ถามวัวจะตอบควายไม่รู้เรื่อง เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าถูกต้ม ข้อสอบที่ล้วงมาดันไม่ตรงปก

พท.จี้ “ตู่” ปรับมุมคิดให้ทันโลก

ที่พรรคเพื่อไทย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า น่าเป็นห่วงสภาวะเศรษฐกิจภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ อาจทำให้เศรษฐกิจไทยทรุดหนักไปอีก 10 ปี ตามบทความ “เศรษฐกิจไทย หายนะในแบบสโลว์โมชัน” ที่นายวิลเลียม พีเซก เขียนลงในนิเคอิ เอเชีย เตือนเศรษฐกิจไทยมาหลายหนและเป็นจริงตลอด เนื้อหาสอดคล้องกับที่ตนเคยเตือนรัฐบาลเรื่อง “ทฤษฎีกบต้ม” มาตลอดเช่นกัน แต่ พล.อ.ประยุทธ์คงไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเข้าใจ ปัจจุบันกบถูกต้มตายจำนานมาก มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสูง และล่าสุดดัชนีการทุจริตของไทยที่จัดอันดับโดยองค์กรสากลพุ่งสูงขึ้น อยากเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ปรับปรุงกรอบคิดให้ก้าวทันโลก ก่อนที่ไทยจะตกยุคไปไกล และเสียหายหนักไปอีก 10 ปี

ชู 3 นโยบายเอาใจคนเมืองกรุง

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ความกังวลว่าเศรษฐกิจไทย จะแย่ อาจส่งผลให้ กทม. ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเป็นเมืองใหญ่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ จึงมีนโยบาย กทม. ที่อยากนำเสนอ คือ 1.เราอยากเห็นกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงของอาเซียน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ให้โอกาสคนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐี เราต้องพัฒนา กทม.ผ่านท้องถิ่น เช่น ส.ก. 2.นำพื้นที่ว่างเปล่าใน กทม. มาให้คนค้าขาย 3.อยากแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เราต้องส่งเสริมการผลิต และลดราคาให้ถูกลง นี่เป็นเพียงนโยบายเบื้องต้น เรายังมีอีกหลายนโยบายออกมา

“นพดล” ติงอย่าเพลินเมินแก้ ศก.

นายนพดล ปัทมะ ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสถาบันวิชาการจากออสเตรเลียจัดอันดับการแก้ปัญหาโควิด-19 ให้ไทยอยู่ลำดับ 4 ของโลกว่า รัฐบาลอย่านิ่งนอนใจ พรรคเพื่อไทยเสนอแนะมาต่อเนื่อง หลายมาตรการไม่ดำเนินการ เช่น เยียวยาคนละ 5,000 บาท 3 เดือน แก้กฎหมายให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง SME เข้าถึงแหล่งทุนได้จริงและง่ายขึ้น พรรคเพื่อไทยเสนอแนะด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อช่วยประชาชน ภาครัฐอย่าเพลินกับการจัดอันดับจัดการโควิดจนพลาดใส่ใจตัวเลขอันดับขีดความสามารถของประเทศโดย IMD จัดลำดับไทยลดลงจากที่ 25 ในปี 62 มาอยู่ที่ 29 ในปี 63 รัฐบาลและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตระหนักเร่งเอาใจใส่หาแนวทางแก้ไขปัญหา

“ศรีฯ” จี้สอบ “สิระ” แจกเกิน 3 ล.

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบการแจกข้าวสาร-หน้ากาก-น้ำยาฆ่าเชื้อ ฯลฯ ของนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ แก่ประชาชนชาวหลักสี่-จตุจักร ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 จนถึงปัจจุบัน ว่าเข้าข่ายฝ่าฝืนระเบียบของ กกต.หรือไม่ นายศรีสุวรรณกล่าวว่า นายสิระแจกสิ่งของ อาทิ ข้าวสาร-หน้ากาก-น้ำยาฆ่าเชื้อ ให้ประชาชนในพื้นที่ฐานเสียงของตนเอง พยายามเลี่ยงบาลีโดยใช้คำว่า “กลุ่มเพื่อนสิระ” ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 3,257,500 บาท ถือว่ามากเกินกว่าที่ กกต.กำหนดไปมาก อาจเป็นเหตุทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไป นายสิระอาจมีปัญหาในการทำบัญชีค่าใช้จ่ายเลือกตั้งได้ จึงนำพยานหลักฐานมามอบให้ กกต. เพื่อสั่งการให้เลขาธิการ กกต.ตรวจสอบและบันทึกไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งต่อไป ตามระเบียบหรือกฎหมายที่กำหนดไว้

“เชาว์” ถอนตัวไม่ลงซ่อมนครศรีฯ

วันเดียวกัน นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ หลังนายประโชติ ศิริวัฒน์ อดีตประธานสาขาและอดีต ผอ.การเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ จ.นครศรีธรรมราช เสนอชื่อตนให้พรรคพิจารณาส่งลงรับสมัครเลือกตั้งซ่อมแทนนายเทพไท เสนพงษ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ช่วยงานพรรคมาตั้งแต่ปี 2538 ทำงานอยู่เบื้องหลังให้พรรคจนได้ ส.ส.มาหลายคน ขอบคุณนายประโชติและสมาชิกพรรค รวมทั้งพี่น้องในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช แต่ไม่ต้องการให้เกิดภาพความขัดแย้งภายใน ที่เป็นการซ้ำเติมความบอบช้ำของพรรค พื้นที่นี้เป็นพื้นที่เดิมของนายเทพไท ต้องให้เกียรติเจ้าของพื้นที่ อยากให้สนามเลือกตั้งเป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อม ไม่ใช่โอกาสของคนที่ใกล้ชิดอำนาจ ด้วยเหตุผลทั้งหมดจึงตัดสินใจไม่เสนอตัวให้พรรคพิจารณาลงรับสมัครเลือกตั้งในครั้งนี้

แรงงานสตรีร้องเยียวยาไม่ทั่วถึง

ช่วงสายที่ประตู 3 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี นำโดย น.ส.ธนพร วิจันทร์ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯทวงถามมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 และวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ น.ส.ธนพรกล่าวว่า การระบาดระลอกใหม่ผลกระทบ อย่างกว้างขวาง นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ ผู้ปกครองทำงานที่บ้านต้องดูแลบุตรหลานรับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น พ่อค้าแม่ค้าขายสินค้าไม่ได้ โรงงานปิดชั่วคราว คนงานถูกปรับลดเงินเดือนไม่ได้รับค่าจ้าง แต่รัฐบาลกลับเยียวยาเพียงบางส่วน เหมือนให้ประชาชนชิงโชค ไม่พิจารณาข้อเท็จจริงของผู้เดือดร้อน ขอเรียกร้องให้เยียวยาอย่างถ้วนหน้า และจ่ายเป็นเงินสดจะสะดวกต่อการเข้าถึง

ร้อง “ชวน” ตั้ง กก.สมานฉันท์มิชอบ

ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า ได้ส่งเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จงใจใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีประกาศตั้ง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เป็นกรรมการสมานฉันท์ โดยระบุว่าอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 80 วรรคสี่ แต่เนื้อหาที่บัญญัติในมาตราดังกล่าวไม่มีข้อความใดให้อำนาจโดยตรงตั้งกรรมการแต่อย่างใด การตั้งรัฐมนตรีที่ไม่ใช่ ส.ส.เป็นกรรมการฝ่ายนิติบัญญัติ อาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 และอาจเข้าข่ายจงใจใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 234 (1) ที่ผ่านมากรรมการสมานฉันท์ประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง มีการจ่ายเบี้ยประชุม ถือเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดิน หากไม่ชอบต้องเอาผิดตามกฎหมายและเรียกคืนเงิน ด้วยเหตุนี้ขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบว่ามีการใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

เด็ก “ชวน” โต้ทำถูกตาม รธน.

นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวว่า นายชวนแต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 80 วรรคสี่ ทุกประการ ไม่มีอะไรที่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 186 ประกอบมาตรา 184 เกี่ยวกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์ นายเรืองไกรควรแยกให้ออก คำว่าประโยชน์ของส่วนรวมกับประโยชน์ของส่วนตน กรรมการสมานฉันท์ตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของประเทศ พล.อ.ชัยชาญทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศ ต่างจากนายเรืองไกรที่ประชาชนดูออกและตัดสินได้

พระราชทานของขวัญให้นายกฯ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผู้แทนพระองค์เชิญของขวัญปีใหม่พระราชทาน เพื่อมอบแก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และภริยา นางนราพร จันทร์โอชา ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า

งัด ส.ว.ขู่ล้มกระดานแก้ไข รธน.

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ผู้เสนอญัตติขอให้รัฐสภามีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 (2) กล่าวว่า การประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 9 ก.พ.นี้ จะพิจารณาญัตติว่าจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับเป็นการขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ บันทึกของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ส่งให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาโดยยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะเป็นส่วนสำคัญประกอบการตัดสินใจของ ส.ส. และ ส.ว. ว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือไม่ หากไม่มีกระบวนการส่งไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน เมื่อต้องพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 อาจทำให้สมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะ ส.ว. งดออกเสียง และถ้าเสียง ส.ว.ไม่ถึง 1 ใน 3 จะทำให้ร่างฯตกไปได้

“บิ๊กป๊อก” สั่งชะลอคืนเบี้ยคนชรา

อีกเรื่อง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาการเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุ ว่า ส่วนงานที่เกี่ยวข้องเตรียมประชุมเพื่อพิจารณาหาแนวทางดำเนินการ สมมติผลออกมาเป็นอย่างที่ทุกคนคาดและได้ข้อยุติ กระทรวงมหาดไทยจะไปแก้ระเบียบให้ เนื่องจากการออกระเบียบเป็นไปตามคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติที่กำหนดขึ้น และกระทรวงมหาดไทยให้นโยบายองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง 7,850 แห่งทั่วประเทศ พิจารณาดำเนินการแก้ปัญหาไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนจนกว่าเรื่องจะได้ข้อยุติ อาจเป็นการเจรจาหรือชะลอดำเนินการกับผู้สูงอายุ 11,111 ราย ส่วนที่ดำเนินการไปแล้ว 4,052 ราย ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ และกว่า 1,700 ราย ยังไม่ได้ดำเนินการให้ชะลอไปก่อน เพื่อบรรเทาปัญหา เมื่อถามว่าระหว่างการหารือได้สั่งการให้ อปท.ชะลอเรื่องการเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุก่อนหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า อปท.ไปสั่งไม่ได้ แต่เราให้นโยบายภาพกว้าง เช่น ถ้ายังอยู่ในระหว่างการเจรา อย่าเพิ่งไปเรียกคืน เพื่อลดผลกระทบทั้งหมด

“จุติ” ไล่แก้รายเคส 1.5 หมื่นราย

นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า สั่งการให้กรมกิจการ ผู้สูงอายุ (ผส.) ประสานไปยังสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และทนายอาสา ไปให้คำปรึกษากับผู้สูงอายุทุกคน ช่วยเหลือเป็นรายกรณีรายเคส จริงๆเรื่องนี้กรมบัญชีกลางแจ้งกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นตั้งแต่ ปี 2562 แต่อาจไม่ได้แจ้งทุกคน ปัจจุบันมีผู้ถูกเรียกคืนเงินอยู่ประมาณ 1.5 หมื่นคนจากกว่า 10 ล้านคน นายกฯให้เอากฎหมายเป็นที่ตั้งและไม่ให้ผู้สูงอายุเครียด ขณะที่นางสุทธินี เมธีประภา นายกสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายฯ กล่าวว่า จัดทนายไว้ 9 คน ต้องดูท่าทีการแก้ระเบียบของกระทรวงการคลัง จริงๆเจ้าหน้าที่รัฐต้องตรวจสอบตั้งแต่แรก ชาวบ้านเขาไม่รู้ เคยได้เลยคิดว่ามีสิทธิ

ยกฟ้อง 3 นปช.ร่วมฆ่า “ร่มเกล้า”

ที่ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 และนางนิชา หิรัญบูรณะ ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รอ. ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุขเสก หรือเสก พลตื้อ นางพนกมล บัวฉัตรขาว หรือนางกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีตผู้ดำเนินรายการทีวีสถานีประชาชนเอเชียอัปเดต และนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฆ่าและสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นฯ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ อัยการฟ้องว่า เมื่อ 10 เม.ย.2553 ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม นปช.จำเลยขว้างระเบิด 2 ลูกใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่หน้า ร.ร.สตรีวิทยา เป็นเหตุให้ พล.อ. ร่มเกล้าเสียชีวิต คำพิพากษาใจความว่า ประจักษ์พยานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ ศาลพิจารณาคำฟ้องจำเลยเปรียบเทียบกับคดี นปช.ก่อการร้ายที่ถูกฟ้องไปก่อนหน้านี้ โจทก์จำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ถือเป็นการฟ้องซ้อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-3 จากนั้นให้นำตัวจำเลยทั้งหมดกลับเรือนจำ

“ธนาธร” ร้องเพิกถอนคำสั่งดีอีเอส

ช่วงเย็นที่ศาลอาญา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า มอบให้ทนายความยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาเพิกถอนคำสั่ง กรณีกระทรวงดิจิทัลร้องศาลอาญาให้มีคำสั่งระงับคลิปนายธนาธรวิจารณ์โครงการวัคซีนของรัฐบาลทางอินเตอร์เน็ต 3 รายการ ที่มีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร 3 รายการ ประกอบด้วย 1.https://progressivemovement.in.th/article/3258/ 2.https://youtu.be/Oq7KPO5TBc8 และ 3.https://fb.watch3aiaDnGJTi/ โดยศาลรับคำร้องไว้ และกำหนดนัดไต่สวนวันที่ 4 ก.พ.นี้