ตร.เล่นเกมเร็วจู่โจมรวบม็อบปลดแอก ผู้ชุมนุมฉุนจัดฮือด่าทอพร้อมโชว์ของลับใส่ ขู่ดำเนินคดีใช้ความรุนแรงเข้าจับกุม ก่อนย้ายไปชุมนุมสามย่าน แต่เกิดเหตุระทึกปาบึม ตำรวจเจ็บ 2 นาย นักข่าวโดนลูกหลงเจ็บ 1 “กวิ้น-รุ้ง” แถลงการณ์ฉะแหลก นร.เลวถือฤกษ์ “วันครู” คืนไม้เรียวให้คุณครู บช.น.จับ 2 แนวร่วมส่งไปควบคุมตัว ที่ ตชด.ภ.1 “บิ๊กปั๊ด” ส่งสัญญาณใช้ยาแรง ให้มั่นใจใช้อำนาจตามกฎหมาย ลั่น “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” ดีอีเอสไม่ยั้งสั่งเอาผิดคนหมิ่นสถาบันฯ พท.โวยเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิทำร้ายผู้ชุมนุม ก้าวไกลซัดตำรวจเติมฟืนสุมไฟ พร้อมลุยไฟเสนอร่างแก้ไข ม.112

การเมืองกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังพักยก ช่วงเทศกาลปีใหม่ จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ดำเนินคดีเอาผิดกลุ่มผู้ชุมนุม ตาม ป.อาญา มาตรา 112 ล่าสุดเกิดการปะทะกระทบกระทั่งกันของผู้ชุมนุม กลุ่มปลดแอก กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างทำกิจกรรม เชิงสัญลักษณ์ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ตร.เล่นเกมเร็วจู่โจมรวบม็อบ

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 15 ม.ค. ที่ลานวิคตอรี่พอยท์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กลุ่มการ์ดปลดแอก แนวร่วมสำคัญม็อบราษฎร จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “112 เมตรกับความทุเรศของรัฐบาล” มีการนำผ้าดิบความยาว 112 เมตร มากาง แล้วให้มวลชนที่เห็นต่างกับรัฐบาล ร่วมกันเขียนข้อความบอกเล่าความในใจกับความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล ท่ามกลางมวลชนวัยรุ่นหนุ่มสาวของม็อบราษฎร และมวลชนเสื้อแดง จำนวนมากเข้าร่วม แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันได้เริ่มกิจกรรม พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ รักษาราชการ ผบก.น.1 พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา ผกก.สน.พญาไท นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบ และชุดกองร้อยควบคุมฝูงชน บุกเข้าสลายการชุมนุม โดยที่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ทันตั้งตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจกรูเข้ายึดแผ่นป้ายผ้าดิบ และเข้าจับกุม ผู้ร่วมกิจกรรมที่ตกใจแตกตื่นวิ่งหนีกันอลหม่าน สามารถควบคุมตัวได้จำนวนหนึ่งนำขึ้นรถควบคุมผู้ต้องหาไปยัง สน.พญาไท

...

ฮือด่าทอพร้อมโชว์ของลับใส่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการปฏิบัติจู่โจมของตำรวจสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม พากันกรูเข้าไปด่าทอด้วยความโกรธแค้น จนเกิดการกระทบกระทั่งกันชุลมุน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าแถวเป็นวงกลมล้อมรอบพื้นที่ และผลักดันผู้ร่วมชุมนุมไม่ให้มารวมตัวกัน พร้อมประกาศแจ้งการกระทำที่ขัดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในช่วงแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนถึงขั้นถอดกางเกงโชว์ของลับประชดเจ้าหน้าที่และทุบที่บริเวณเป้ากางเกงเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้ตำรวจจะควบคุมเหตุการณ์ได้แต่ยังคงมีผู้ชุมนุมวัยรุ่นหนุ่มสาวทยอยเข้ามาสมทบต่อเนื่อง เกิดกระทบกระทั่งกันเป็นระยะ ทำให้ พ.ต.อ.อรรถวิทย์สั่งถอนกำลังทั้งหมด

จู่โจมสลายม็อบเจอปาบึม 2 ตร. นักข่าวเจ็บ จุดชุมนุมลานจามจุรีสแควร์

ขู่ดำเนินคดี ตร.ใช้ความรุนแรง

นายกิติติ์พิวัฒน์ สีบุญเรือง หรือ บก.เอ็ม แกนนำกลุ่มภาคีการ์ดเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า มีผู้เข้า ร่วมกิจกรรมถูกควบคุมตัวไปที่ ตชด.ภาค 1 จำนวน 2 คน กิจกรรมนี้เพียงต้องการแสดงออกถึงความไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาล แต่เจ้าหน้าที่กลับอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้ามาใช้ความรุนแรงจับกุมทำให้มีผู้บาดเจ็บ เท่ากับว่ารัฐบาลจงใจใช้กฎหมายโรคระบาด มาควบคุมการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ยืนยันจะมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมแน่นอน

“กวิ้น–รุ้ง” แถลงการณ์ฉะแหลก

ต่อมาเวลา 16.00 น. แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดยนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ และ น.ส. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เผยแพร่แถลงการณ์เรื่องการชักผ้าสีแดงซึ่งมีเลข 112 ขึ้นสู่ยอดเสา เมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ระบุว่า การ ตั้งข้อหามาตรา 112 กับแพะในกรณีนี้ ทำให้ส่วนกลางรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเพราะเท่ากับดำเนินคดีผิดพลาด ถึงกับส่ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ไปประชุมถึงที่ สภ.คลองหลวง ก่อนแถลงภายหลังว่าจะตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.ธง และความผิดฐานอื่นกับผู้ที่มาทำกิจกรรม รวมถึงการส่งสัญญาณจาก ผบ.ตร.ในวันถัดมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง ควรตั้งคำถามกับมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ และจริยธรรมของตนเอง เกี่ยวกับมาตรา 112 ที่มีมาตรฐานต่ำเกินกว่าควรจะเป็น จะจับก็จับ จะปล่อยก็ปล่อย ไม่มีมาตรฐานใดๆทั้งสิ้น แต่ตำรวจเลือกที่จะทำนิติสงครามกับประชาชน การดำเนินคดีแก้เก้อกล่าวหาประชาชนว่าใช้ธง 112 แทนธงชาติ เช่นนั้นต้องถามกลับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าการแสดงเชิงสัญลักษณ์เป็นความผิดอย่างไร การแสดงเชิงสัญลักษณ์ด้วยวิธีการเหล่านี้ ย่อมอยู่ในขอบเขตของเสรีภาพอันพึงกระทำได้ สุดท้ายนี้ต้องขอกล่าวกับผู้พิทักษ์ทรราชว่า “อายไหมมาไล่ฟ้องคน ในงานที่ตัวเองออกหมายคนมั่ว”

“ราษฎร” ปัดนัดชุมนุมสามย่าน

จากนั้นเวลา 17.00 น. น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำกลุ่มราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ในฐานะโฆษกอย่างเป็นทางการของกลุ่มราษฎร ขอชี้แจงให้ทุกคนทราบว่าการประกาศรวมตัวที่สามย่านในวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากกลุ่มราษฎร หรือแกนนำคนใด จึงเรียนมาเพื่อขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังข้อมูลข่าวสาร และติดตามการประกาศและการเคลื่อนไหวของเราได้ทางเพจของแกนนำ และเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมอย่างเป็นทางการเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การชุมนุมโดยสงบ เป็นสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ขอเรียกร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชนโดยทันที”

จู่โจมสลายม็อบเจอปาบึม 2 ตร. นักข่าวเจ็บ จุดชุมนุมลานจามจุรีสแควร์

เกิดเหตุระเบิดชุมนุมสามย่าน

กระทั่งเวลา 17.30 น. กลุ่มแนวร่วมปลดแอก ที่ย้ายการชุมนุมจากบริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ มาปักหลักชุมนุมอยู่บริเวณหน้าศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน เริ่มกระชับพื้นที่ เดินแถวจากฝั่งถนนพระราม 4 ขาออก และถนนพญาไทขาเข้า เพื่อสลายการชุมนุม ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมส่วนใหญ่วิ่งหลบหนีเข้าไปในศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ บางส่วนใช้รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางแยกอังรีดูนังต์ แต่ทางตำรวจได้จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจจักรยานยนต์ 5 คัน ติดตามจับกุมไปตามถนนพระราม 4 ขาออก จากแยกสามย่านไปแยกอังรีดูนังต์ พร้อมเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนเดินเท้าเคลียร์พื้นที่ จนถึงเวลา 17.58 น. ได้เกิดเหตุเสียงดังคล้ายระเบิด บริเวณลานหน้าอาคารจามจุรีสแควร์ ฝั่งถนนพระราม 4 มีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวเดอะสแตนดาร์ด ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดที่ขาเล็กน้อย จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจเบื้องต้น คาดว่าวัตถุระเบิดดังกล่าวถูกโยนมาจากบนสะพานข้ามแยกไทย-ญี่ปุ่น

2 ตร.กับนักข่าวบาดเจ็บ

ต่อมาเวลา 19.00 น. เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหาร่องรอยวัตถุพยานที่หลงเหลือจากการระเบิดที่หน้าจามจุรีสแควร์ มีการล้อมเขตป้องกันไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่ เบื้องต้นพบว่าเป็นระเบิดปิงปอง จากเหตุดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าวได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดดังกล่าวรวม 3 คน คือ ส.ต.ท.ชาคริต พินิจ ผบ.หมู่ ร้อย 3 คฝ.1 บริเวณมือซ้ายโดนสะเก็ดบาดเจ็บ 2 จุด กับบริเวณศีรษะ 1 จุด และ ส.ต.ต.อรรถพล จั่นชมนาค ผบ.หมู่ ร้อย 2 คฝ.1 บาดแผลบริเวณหัวเข่าขวา อีกรายเป็นผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเดอะสแตนดาร์ด บาดเจ็บ เล็กน้อย ได้รับการปฐมพยาบาลอาการปลอดภัย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จับกุมแนวร่วมได้รวม 4 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 2 คน

บช.น.แจงส่งตัว 2 คนไป ตชด.ภ.1

พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. แถลงว่า การชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.พญาไท จับกุมนายใบบุญ (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี และนายภาณุพงษ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี ในข้อหาร่วมกันมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีการรวมคนที่มีความแออัดในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคในพื้นที่ ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศหรือมีคำสั่งให้เป็นพื้นที่ควบคุม อันเป็นการฝ่าฝืนเรื่องห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นำตัวส่ง ตชด.ภาค 1 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทีมทนาย-ส.ส.ก้าวไกลรุดช่วย

สำหรับบรรยากาศที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด.ภ.1) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่นำแผงเหล็กมากั้น มีตำรวจยืนประจำจุดตรวจ เบื้องต้นมีผู้ถูกจับมา 2 คนตั้งแต่ช่วงเที่ยง คือนายใบบุญ ไทยพาณิชย์ และนายภาณุพงศ์ พงษ์ทนุ มีทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จำนวน 3 คน และ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เข้าให้ความช่วยเหลือทางคดี ต่อมาเวลา 20.00 น. รถคุมขัง สน.ยานนาวา และ สน.พลับพลาไชย 2 รวม 2 คัน เข้าไปใน บก.ตชด.ภาค 1 แต่ไม่ทราบว่ามีคนถูกคุมตัวมากี่คนและเป็นใคร เมื่อผ่านกลุ่มคนที่มาเยี่ยมยืนอออยู่หน้าทางเข้า คนในรถยื่นมือชู 3 นิ้วพร้อมส่งเสียงร้อง “สู้ๆ” ทั้งนี้มารายงานเพิ่มเติมว่า ตำรวจ สภ.คลองหลวง ออกหมายเรียกแกนนำนักศึกษาปลดธงชาติหน้า สภ.คลองหลวง จำนวน 2 คน คือ น.ส.เบญจา อะปัญ อายุ 21 ปี กับ น.ส.พิมชนก ใจหงษ์ อายุ 23 ปี ให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 26 ม.ค. เวลา 10.00 น. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ธง

จู่โจมสลายม็อบเจอปาบึม 2 ตร. นักข่าวเจ็บ จุดชุมนุมลานจามจุรีสแควร์

นร.เลวคืนไม่เรียวให้คุณครู

วันเดียวกันเวลา 14.30 น. ที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กลุ่มนักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ในนามกลุ่ม “นักเรียนเลว” นำโดยนาย ลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ หรือมิน จัดกิจกรรมเชิงสัญ– ลักษณ์เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ยุติความรุนแรงในสถานศึกษาทุกรูปแบบ พร้อมนำไม้เรียว ไม้บรรทัดจำนวนมากมาวางกองหน้ากระทรวงติดข้อความว่า “วันครูปีนี้ หนูขอครูอย่าทำร้ายหนู” และ “เอาไม้เรียวคืนไป เอาความ ปลอดภัยคืนมา” มีการเปิดเพลงพระคุณที่สาม และสาดน้ำแดงใส่ตราสัญญาลักษณ์ ศธ. และกองไม้เรียว และนั่งไว้อาลัยประมาณ 5 นาที จึงยุติและสลายการชุมนุมอย่าสงบ นายลภนพัฒน์กล่าวว่า กิจกรรมวันนี้ต้องการสะท้อนให้สังคมไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ศธ.ตระหนักว่าบางส่วนของครูในปัจจุบัน ไม่ได้มีแต่ด้านดี แต่ยังมีบางส่วนที่ทำร้ายเด็ก จึงมาเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงในโรงเรียนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจากครูหรือจากนักเรียนด้วยกัน

“บิ๊กปั๊ด” ส่งสัญญาณใช้ยาแรง

ช่วงสายที่ห้องประชุมชั้น 3 สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พร้อม พล.ต.อ.ดำรงศักด์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชยุต มายาทตร์ ผบก.ภ.จ.ปทุมธานี ประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายที่เกี่ยวข้องในคดีกลุ่มการ์ด wevo นำธงชาติลงแล้วเปลี่ยนผ้าแดงเขียนเลข 112 ขึ้นสู่ยอดเสาแทน พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวภายหลังการประชุมว่า เรียกประชุมด้วยวัตถุประสงค์ 3 เรื่อง คือ 1.มีชาวบ้านตั้งคำถามว่าปล่อยให้เกิดเหตุแบบนี้ได้อย่างไรต่อหน้าต่อตา 2.จะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ และ 3.คนทำผิดต้องโดนอะไรบ้าง มาพบปะทำความเข้าใจกับลูกน้องว่าเรื่อง แบบนี้จะให้เกิดอีกไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้กำลังก็ต้องใช้ พวกเรายอมรับผิดและรับผิดชอบ เราไม่ ทอดทิ้งกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะกระทบ กระเทือนความรู้สึกคนทั้งประเทศ อาจเพลี่ยงพล้ำในพื้นที่การข่าวก็ว่าไป แต่สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร

ลั่น “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”

พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวต่อว่า ต้องมาปรับการทำงานโดยเฉพาะตำรวจระดับเล็ก ที่ไม่มั่นใจในอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ยังไม่แตกฉานพอ ผู้บังคับ บัญชาที่อยู่อาจยู่บนพื้นฐานไม่อยากใช้กำลังโดยไม่จำเป็น ต้องปรับความคิดกันใหม่ รวมถึงเรื่องยุทธวิธีด้วย ต้องทำให้เข้มข้นขึ้น เราต้องเอาบทเรียนมาถอด ส่วนการดำเนินคดีอยู่บนพื้นฐานกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเร่งรัดทำให้กระจ่าง ให้สังคมเห็นว่าต้องรวดเร็ว ครบถ้วนทุกข้อหา และทุกคน ตนต้องเดินสายทำความเข้าใจกับตำรวจทั่วประเทศเช่นกัน ทำให้ลูกน้องมั่นใจว่าเรารับผิดชอบในสิ่งที่เราสั่ง และขอให้เขามั่นใจในสิ่งที่เขาทำ เพราะเราไม่ได้สั่งให้เขาทำอะไรนอกอำนาจหน้าที่ เมื่อจำเป็นต้องใช้กำลังอย่าลังเลต้องทำ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เบื้องต้นเรื่องผู้กระทำผิดต้องออกหมายเรียกทุกคน มีกฎหมายสำหรับเยาวชนชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ต้องเป็นบทเรียน

ดีอีเอสไม่ยั้งสั่งเอาผิดคนหมิ่นฯ

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กำชับกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ปท.) และกองกฎหมายฯ ติดตามตรวจสอบผู้กระทำความผิดโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวบรวมหลักฐานแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ต่อเนื่อง ช่วงวันที่ 4-15 ม.ค. มีการแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 รวม 11 URLs พบชื่อบัญชีผู้กระทำความผิด อาทิ บัญชีเฟซบุ๊กเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม บัญชี Pavin Chachavalpongpun (นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์) และยูทูบแชนแนล ชื่อ FAIYEN CHANNEL (วงไฟเย็น) และปท.ได้สรุปคำสั่งศาล พบมีกระทำผิด 9 คำสั่งศาล รวม 136 URLs มีทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ ทวิตเตอร์ และเว็บอื่นๆ

จู่โจมสลายม็อบเจอปาบึม 2 ตร. นักข่าวเจ็บ จุดชุมนุมลานจามจุรีสแควร์

พท.โวยไม่มีสิทธิทำร้ายผู้ชุมนุม

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังเข้าจับกุมกลุ่มการ์ดปลดแอก ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สามารถบังคับใช้กฎหมายเอาผิดอย่างตรงไปตรงมาได้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสิทธิไปทำร้ายร่างกายกลุ่มจัดกิจกรรมทุกกรณี ที่ผ่านมารัฐบาลนี้ถูกตั้งคำถามถึงการกระทำเกินกว่าเหตุ ละเมิดสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครองไว้ เป็นภาพลักษณ์ที่ติดลบในสายตาประชาชน และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าว บ่อนการพนัน รัฐบาลสารภาพว่าแก้ไม่ได้ แต่การบังคับใช้กฎหมายเกินความจำเป็นขั้นพื้นฐานกับประชาชน กลับชนะเลิศ รัฐบาลจะสั่งตำรวจบังคับใช้กฎหมายไม่มีใครว่า แต่การทำร้ายประชาชน ดำเนินการเกินกรอบกฎหมาย ไม่มีใครรับได้

ก้าวไกลชี้ตำรวจเติมฟืนสุมไฟ

พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ฝากถึงน้องๆตำรวจทั้งหลาย คงรู้แก่ใจดีว่าการบุกรวบตัวจับกุมตัวนักศึกษาและประชาชนที่มาทำกิจกรรมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ นี่อาจเป็นการเติมลมโหมกระหน่ำกองไฟให้ลุกลามบานปลายใหญ่โตได้ แค่กิจกรรมเขียนป้ายผ้า แค่การแสดงออกทางความคิดเห็น อันเป็นพื้นฐานประชาธิปไตย ตำรวจทั้งหลายทำราวกับพวกเขากำลังก่ออาชญากรรมร้ายแรง เป็นอาชญากร ตำรวจเพื่อประชาชนจะไม่ทำแบบนี้ กระบวนการขั้นตอนต้องเป็นไปตามหลักรัฐศาสตร์ ไม่ใช่การใช้กำลังที่เหนือกว่าอย่างโกรธแค้น รุนแรง หิ้วร่างลากถูไปเช่นนี้

พร้อมลุยไฟเสนอร่างแก้ไข 112

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า หลังจากมีสัญญาณชัดเจนว่า มาตรา 112 และกฎหมายความมั่นคง ถูกนำมาบังคับใช้อย่างเข้มข้นที่ประชุม ส.ส.พรรคก้าวไกลมีมติเห็นชอบเสนอให้แก้ไขปรับปรุง เราจึงต้องตั้งคณะทำงานเพื่อปรับปรุงร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว คาดว่าจะหารือกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ขณะนี้โจทย์ใหญ่ไม่ใช่ประเด็นการล้มล้างการปกครอง ล้มล้างสถาบัน หรือคนที่สนับสนุนสถาบัน โจทย์นี้เป็นโจทย์ที่ผิดที่ผิดทาง ที่ถูกต้องคือถ้าสังคมไทยอยากให้สถาบันมีความมั่นคงในสังคมประชาธิปไตย ในสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย แนวทางไหนถึงจะบรรลุตรงนั้น นี่คือเส้นแบ่งที่สำคัญ เราเห็นว่าแนวทางการบังคับใช้มาตรา 112 หรือตัวกฎหมายในปัจจุบัน ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย หากยังบังคับใช้ต่อไป จะส่งผลด้านกลับทำให้สถานะของสถาบันฯ มีปัญหาได้ในอนาคต คิดว่าความแตกต่างอยู่ที่ว่าเราเห็นว่าแนวทางไหนกันแน่ที่จะทำให้สถาบันฯมีความมั่นคงได้จริงในสังคมที่มีความเป็นสมัยใหม่

จู่โจมสลายม็อบเจอปาบึม 2 ตร. นักข่าวเจ็บ จุดชุมนุมลานจามจุรีสแควร์

ยก “ชนชั้นปรสิต” สอนเชิงรัฐบาล

นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีมติเห็นชอบเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับสนับสนุนเงินจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์วงเงิน 300 ล้านบาท (งบฯจัดทำหนังสั้น) ว่า ในฐานะคนทำหนังเห็นว่าการสร้างหนังรักชาติคือการดูถูกประชาชนสะท้อนรัฐล้าหลังไม่พัฒนาความคิด ติดอยู่ในโลกยุคดึกดำบรรพ์ นิยามของการรักชาติคืออะไร แปลว่ารัฐกำลังสร้างความแตกแยกให้ประชาชนในชาติ คิดว่าคนที่เห็นต่างจากรัฐบาลคือคนชังชาติ ทั้งที่ไม่มีใครชังชาติ อยากให้ดูตัวอย่างกองทุนพัฒนาภาพยนตร์ของเกาหลีใต้ มีโครงการหนังที่ส่งเสริมให้ทุนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกคือหนังเรื่อง “ชนชั้นปรสิต” สะท้อนความเหลื่อมล้ำของคนเกาหลีใต้ นี่ต่างหากที่เรียกว่าหนังรักชาติ การใช้งบภาษีควรตระหนักว่าต้องเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

“เจ๊หน่อย” สวน “วิษณุ” คิดไม่เป็น

ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานผู้ก่อตั้งสถาบันสร้างไทย ทวีตลงทวิตเตอร์ ระบุว่า “นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯมีแนวคิดใช้เงินกองทุนสื่อสร้างสรรค์บางส่วน ไปสร้างภาพยนตร์รณรงค์ป้องกันโควิด คงไม่ต้องเสียเงิน 300 ล้านบาท ไปทำหนังเตือนประชาชนหรอกไปเตือนรัฐบาลทำงานให้คุ้มภาษีก็พอ ทั้งปล่อยคนลักลอบเข้าประเทศ ปล่อยบ่อนการพนัน ให้โควิดมาพ่นพิษจนเศรษฐกิจพังพินาศ เอาเงิน 300 ล้านบาท ที่จะไปสร้างหนังไปตรวจโควิดฟรีให้ประชาชน จะตรวจได้ 3 แสนคน เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมโรคมากกว่าไหม”

“สุภรณ์” โต้ให้ดูที่เจตนารมณ์

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วย รมต.ประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากให้คุณหญิงสุดารัตน์ มองบริบทภาพรวมของประเทศ ไม่ใช่จับเฉพาะบางจุดมาโจมตี การที่ กสทช.ให้เงินมา 300 ล้านบาท วัตถุประสงค์ต้องการให้นำไปผลิตสื่อที่สร้างสรรค์ เพื่อให้สังคมไทยและคนไทยตระหนักรู้ในหลายเรื่อง ทั้งโควิดและความรักชาติ นั่นคือเจตนารมณ์ การบอกว่าให้เอาเงินก้อนนี้ไปซื้อวัคซีนฉีดให้ประชาชนดีกว่านั้น แสดงว่าคุณหญิงสุดารัตน์ไม่รู้ตกข่าว หรือแกล้งโง่ เพราะรัฐบาลประกาศมานานแล้วว่าจองซื้อวัคซีนไป 70 ล้านโดส พอเพียงต่อประชาชนทั้งประเทศ ความพยายามใช้วาทะตีกินทางการเมืองซ้ำซาก อยากให้ไปตั้งพรรคไวๆ จะได้เอานโยบายมาแข่งกัน ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินว่าจะเลือกใคร จะมีประชาชนเลือกพรรคคุณหญิงสุดารัตน์หรือไม่

“อดุลย์” ข้องใจ “ลุงตู่” ป่วยทางจิต

นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กล่าวว่า จากพฤติกรรมการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ น่าจะมีปัญหาเจ็บป่วยทางจิตที่ต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน เพราะมุ่งไปในทิศทางตรงข้ามกับความถูกต้อง กรณีสังคมเรียกร้องให้เอาผิดอาญากับกลุ่มข้าราชการที่ทุจริตรับส่วยบ่อนการพนัน ค้าแรงงานเถื่อน ที่เป็นต้นตอของการระบาดโควิดรอบ 2 แต่นายกฯกลับเลือกซื้อเวลาตั้งคณะกรรมการสอบ ถึงที่สุดก็ไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ ความวิปริตที่ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าทำ คือให้สัมภาษณ์ส่งสัญญาณบวกไปยังนายบ่อนว่า “ร้อยนายกฯก็แก้ไม่ได้” เหมือนอยากให้ประชาชนยอมรับว่าบ่อน และการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นเรื่องปกติที่อยู่คู่กับสังคมไทย และเพื่อกลบกระแสข่าวก็มาโหมกระแสยัดคดีไล่จับนักศึกษาเยาวชนที่ออกมาเรียกร้องทางการเมือง “รู้สึกมองไม่เห็นทางออกกับการมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ หวั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นเหมือนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ยอมลงจากอำนาจ แล้วปลุกระดมคนให้ออกมาปกป้องรักษาอำนาจตัวเอง”

จู่โจมสลายม็อบเจอปาบึม 2 ตร. นักข่าวเจ็บ จุดชุมนุมลานจามจุรีสแควร์

ดักคอ ส.ส.รัฐบาลอย่าจ้องตีรวน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลแล้ว คณะทำงานพรรคร่วมจะหารือเกี่ยวกับการร่างญัตติในสัปดาห์หน้า ให้เสร็จสิ้นวันที่ 22 ม.ค. และยื่นญัตติวันที่ 25 ม.ค. พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นสอดคล้องกันว่าควรพุ่งเป้าไปที่ตัวนายกฯเป็นหลัก เพราะมีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานของรัฐบาลทั้งหมด พรรคเพื่อไทยจะนำแจ้งให้ ส.ส.พรรคทราบวันที่ 22 ม.ค. อาจได้หารือถึงเนื้อหาที่สมาชิกเตรียมการมาว่าใครอยากให้น้ำหนักเรื่องไหนเป็นพิเศษ การอภิปรายรอบนี้จะให้น้ำหนักที่เนื้อหาสาระมากกว่ากรอบเวลา หวังว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ไม่จ้องประท้วงขัดจังหวะ เพราะเป็นการตรวจสอบแทนประชาชน

“บิ๊กตู่” ส่งสารวันครูต้นแบบที่ดี

วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ส่งสารเนื่องในโอกาสวันครูแห่งชาติ ประจำปี 2564 ว่า ปัจจุบันครูยุคใหม่ต้องเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงศาสตร์สาขาต่างๆ ให้เป็นผู้มีความรู้ครบถ้วน เป็นคนดี มีคุณธรรม และจริยธรรม เติบโตเป็นพลเมืองดี รัฐบาลมีนโยบายเสริมสร้าง พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีมาตรฐานวิชาชีพในระดับสากล นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้ เพื่อพัฒนาเยาวชนในทุกช่วงวัยให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า มีศักยภาพสูง อนาคตของชาติอยู่ที่การศึกษา การศึกษาที่มีคุณภาพย่อมเกิดจากครูที่มีคุณภาพด้วย มอบคำขวัญวันครูปีนี้ “ครูวิถีใหม่ ใส่ใจดิจิทัล สร้างสรรค์คุณธรรมประจำชาติ” ให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ตระหนักถึงบทบาทและหน้าที่ ปรับรูปแบบการเรียนการสอนและสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง และครูยังต้องเป็นบุคลากรตัวอย่างในการประพฤติปฏิบัติตนมีคุณธรรมและจริยธรรม เป็นที่ยกย่องของผู้คนในสังคม และเป็นต้นแบบที่ดีให้แก่ศิษย์ได้ดำเนินรอยตาม เพื่อเป็นคนเก่ง คนดี มีความทันสมัย มีคุณธรรมประจำใจ และเป็นอนาคตของชาติ

“เทพไท” จ่อชงส่งคนชิงผู้ว่าฯ กทม.

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.กันคึกคักหลายคน พรรคประชาธิปัตย์ที่ยังไม่มีความเคลื่อนไหว อาจทำให้แฟนพันธุ์แท้หรือกลุ่มผู้สนับสนุน เกิดคำถามว่าพรรคจะส่งผู้สมัครในนามพรรคหรือไม่ โดยหลักการเราเป็นพรรคที่เคยครองพื้นที่มายาวนาน มีฐานเสียงหนาแน่น และเป็นอุดมการณ์พรรคที่สนับสนุนหลักการกระจายอำนาจชัดเจน มั่นใจว่าคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดนี้ จะมีมติส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ในนามพรรคแน่นอน ไม่มีการฮั้วกับพรรคหรือกลุ่มการเมืองใดๆ จะนำเสนอเรื่องนี้ต่อ กก.บห.พรรคให้มีการประชุมและมีมติโดยเร็วที่สุด โดยมีผู้ที่เหมาะสมหลายคน เช่น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ รวมถึงนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค ที่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง และยังมีบุคคลภายนอกที่มีชื่อเสียงและประวัติที่โดดเด่น สนใจเสนอตัวอีกหลายคน

จวก “อัศวิน” ขึ้นค่ารถไฟฟ้าสีเขียว

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “การขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว เกมตบตาประชาชน หรือหวังฮุบสัมปทาน 30 ปี” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ลงนามในประกาศค่าโดยสารใหม่รถไฟฟ้าสายสีเขียว กำหนดราคา 104 บาทตลอดสาย และยังพูดเอาบุญคุณอีก คิดว่าเราควรเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่โดยเร็วที่สุด ตั้งแต่ พล.ต.อ.อัศวินเป็น ผู้ว่าฯ กทม. นอกจากไม่เห็นผลงานชัดแจ้งแล้ว ยังมีนโยบายแบบไม่เห็นหัวคนจน ค่าแรงขั้นต่ำใน กทม. อยู่ที่ 331 บาท เท่ากับว่าโอกาสเข้าถึงบริการรถไฟฟ้า ของคนจนแทบไม่มี ถ้ามองให้ลึกมีความซับซ้อนมากกว่านี้ การวิพากษ์วิจารณ์จะกลายเป็นแรงกดดัน สร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลต่ออายุสัมปทานให้กับบริษัท BTS 30 ปี แลกกับการเก็บค่าโดยสาร 15 ถึง 65 บาท ที่มีความพยายามผลักดันมาก่อนหน้านี้ แต่ ครม.ยังไม่กล้าเคาะ อดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันเป็นเกมตบตาประชาชนหรือหวังฮุบสัมปทาน 30 ปีกันแน่