“พิชัย” เตือน “บิ๊กตู่” ไม่ปรับกรอบความคิด-วิธีการบริหารให้ทันโลก ศก.ไทยได้แต่รอวันเจ๊ง “ภราดร” ชี้ฝ่ายมั่นคงล้มเหลวสัญญาณเปลี่ยนตัวผู้นำเริ่มชัด พปชร.ขอเลิกวาทกรรมการเมือง ส.ว.ขอของขวัญปีใหม่ “บิ๊กตู่” ดันร่าง พ.ร.บ.ตำรวจเข้าสภา โพลย้ำการเมืองยังวุ่นวายเหมือนเดิม ผลอุทธรณ์ “ทักษิณ” คดีขายหุ้นชินคอร์ปออกแล้ว คณะ กก.ตีตกทุกคำร้อง ต้องจ่ายภาษีกว่า 1.76 หมื่นล้าน
การเมืองยังอยู่ในช่วงพักร้อนเทศกาลปีใหม่ 2564 มีการออกมาตอบโต้กันบ้างพอเป็นกระษัย ล่าสุดนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาท้วงติง หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนวิธีคิดและแนวทางการบริหารใหม่ เศรษฐกิจไทยได้แต่รอวันเจ๊ง
“พิชัย” ติง “บิ๊กตู่” ไม่เปลี่ยนรอเจ๊ง
เมื่อวันที่ 3 ม.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า การคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2564 น่าเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจไทยจะยิ่งย่ำแย่เสื่อมถอยกว่าปี 2563 ที่ว่าแย่แล้ว เพราะสถานการณ์ระบาดของโควิดระลอกใหม่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ในพื้นที่ กทม. และอีก 8 จังหวัด และอาจต้องล็อกดาวน์เพิ่ม ถ้ายาวนานเศรษฐกิจไทยที่อาจจะฟื้นขึ้นบ้าง อาจไม่ฟื้นเลยก็เป็นได้ ที่น่าห่วงที่สุดคือกรอบคิดของรัฐบาล โดยเฉพาะกรอบคิดของนายกฯที่ยังไม่สามารถก้าวทันโลกได้ เพียงไม่กี่ปีความสามารถในการแข่งขัน และตำแหน่งของไทยในสายตาต่างประเทศ เสื่อมถอยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หากใครได้ฟังที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก การที่ไทยต้องปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศ เป็นเรื่องจำเป็นหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิด หรือเปลี่ยนแปลงการบริหาร ประเทศไทยได้แต่รอวันเจ๊งเท่านั้น
...
สัญญาณเปลี่ยนตัวผู้นำเริ่มชัด
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฉายารัฐบาล “VERY กู้” ของนายกฯ “ตู่ไม่รู้ล้ม” ที่ผู้สื่อข่าวทำเนียบฯตั้งให้ ขณะที่ผู้สื่อข่าวรัฐสภาตั้งฉายาวุฒิสภา “สภาปรสิต” สะท้อนความรู้สึกแทนประชาชน ที่มาของฉายาล้วนมีรากเหง้าจากพฤติการณ์ไร้ยางอายที่รัฐบาลสืบทอดอำนาจ แต่เร็ววันนี้เครื่องมือความหน้าด้านจะหมดฤทธิ์ลง เพราะแพ้ทางการตีแผ่ความจริง มีคณะราษฎรเป็นหัวหอกรัฐบาลสืบทอดอำนาจอาศัยชายคาความมั่นคงที่เชื่อว่าเป็นจุดแข็งคุ้มหัวมาตลอด แต่เมื่อเกิดการระบาดของโควิดรอบสอง จึงเผยความจริงว่าฝ่ายความมั่นคงนั้นไม่ได้แข็งแรง แสดงถึงความหย่อนยานในการควบคุมชายแดน ปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนัน ภูมิคุ้มกันนายกฯสืบทอดอำนาจเลยไม่หลงเหลือ บวกกับข้อมูลการทุจริตที่สภาผู้แทนราษฎรจะแฉในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ สัญญาณขยับเปลี่ยนตัวนายกฯเริ่มใกล้ความจริงเข้ามาทุกที
อย่าใช้วิธีชิงโชครับภูมิคุ้มกัน
น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีข้อเสนอให้รัฐบาลเตรียมความพร้อม 5 ด้าน รับมือโควิดระลอกสอง การล็อกดาวน์หรือใช้มาตรการใดๆที่กระทบการทำมาหากินของประชาชน รัฐบาลต้องชดเชยรายได้ รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรนำมาตรการพักชำระหนี้กลับมาใช้ พร้อมปรับแผนสั่งซื้อวัคซีนเร่งด่วน เพื่อนำมาป้องกันประชาชนกลุ่มเสี่ยง และบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อวัคซีนเพียงพอแล้วจึงควรวางแผนให้ประชาชนล่วงหน้าอย่างเป็นระบบอย่างเท่าเทียม ให้คุ้มกับภาษีประชาชน ไม่ใช่การชิงโชครับภูมิคุ้มกันเหมือนที่รัฐบาลทำมาตลอด และควรเพิ่มทางเลือกวัคซีนตัวอื่นที่มีประสิทธิภาพสูง นอกเหนือจากบริษัท ออกซ์ฟอร์ด-แอสตราเซเนกา (Oxford-Astrazeneca) บริษัทเดียว และรัฐควรให้วัคซีนสังคม (social vaccination) ด้วยการปลูกฝังประชาชน เข้มงวดสวมหน้ากาก และ Social distancing ให้เป็นนิสัย
ต้องหาวัคซีนให้คนไทยทั่วถึง
นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แม้รัฐบาลบอกว่ามีการจองวัคซีนไปแล้ว แต่วันนี้ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้ ต่างจากเพื่อนบ้าน ทั้งลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ ที่วันนี้เขามีวัคซีนฉีดกันแล้ว มองว่าการรอวัคซีนจากบริษัทเดียวเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องฉลาดคิดจัดหาวัคซีนจากบริษัทที่สามารถผลิตออกมาใช้กันได้แล้ว เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับสู่ประเทศ ถ้ายังปล่อยไปเช่นนี้ไม่รู้เมื่อไหร่คนไทยจะได้ฉีดวัคซีน หากต้องล็อกดาวน์อีกครั้งความเสียหายจะหนักกว่าครั้งที่ผ่านมา หรือรอให้ภาคเอกชน โรงพยาบาลเอกชน นำเข้าวัคซีนมาฉีดขายให้คนรวยก่อน ให้คนบางกลุ่มได้ผลประโยชน์ตรงนี้ไปหรือไม่ ที่รัฐบาลต้องทำทันทีคือสั่งซื้อวัคซีนมาให้ประชาชนคนไทยได้ใช้ทุกคน วงเงินไม่น่าเกิน 6 หมื่นล้าน ถ้าเทียบกับที่กู้มา 2 ล้านล้านบาท ถือว่าน้อยนิด
พปชร.ขอเลิกวาทกรรมการเมือง
น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ของประเทศขณะนี้คือการแก้ไขปัญหาโควิด และผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่รุนแรง ขึ้นปีใหม่ 2564 อยากเห็นทุกพรรคหันหน้าเข้าหากัน ทำการเมืองใหม่อย่างสร้างสรรค์ เลิกใช้วาทกรรมนำไปสู่ความขัดแย้ง สร้างความเข้าใจผิดสู่สังคม หันมาช่วยกันเดินหน้าประเทศ สิ่งใดดีแล้วก็ส่งเสริมให้ลุล่วง สิ่งใดไม่เห็นด้วยก็เสนอแนะว่าควรทำอย่างไร เชื่อมั่นว่าทุกข้อเสนอที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ บนพื้นฐานข้อเท็จจริง รัฐบาลพร้อมรับฟังนำไปประยุกต์ใช้ ปัจจุบันภาพลักษณ์ของนักการเมืองตกต่ำมากในสายตาของประชาชน ถึงเวลาที่เรานักการเมืองทุกคนต้องช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ จริงใจ และสร้างสรรค์ ให้เป็นที่พึ่งและไว้วางใจของประชาชนต่อไป
ยื้อเลื่อนประชุมสภาฯไปยาวๆ
นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรค พปชร. กล่าวถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เตรียมสั่งเลื่อนการประชุมสภาฯหลังปีใหม่ไปอีก 1 สัปดาห์ ว่า นายชวน วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้านต้องตระหนักว่าหากยังยืนยันให้มีการประชุม ถ้าเกิดมีคนติดเชื้อโควิดในรัฐสภา เกิดการแพร่ระบาดขึ้นมาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ หากมี ส.ส.สักคนหนึ่งที่กลับภูมิลำเนาในช่วงปีใหม่ เกิดติดเชื้อโควิดมาประชุมจะนำเชื้อมาแพร่ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงอีก ช่วงนี้ควรเลื่อนประชุมออกไปก่อนสัก 2 สัปดาห์ ให้มีเวลากักตัว 14 วัน เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ประธานสภาฯจะนัดเพิ่มวันประชุมสามารถทำได้ หรือเปิดสมัยวิสามัญก็คงไม่สายเกินไป
ส.ว.ขอของขวัญ พ.ร.บ.ตำรวจ
ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ถ้าให้ขออะไรสักอย่างจากนายกฯในช่วงปีใหม่ 2564 ขอเรื่องปฏิรูปตำรวจ ขอให้ ครม.เร่งส่งร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ (ฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์) มายังรัฐสภาให้ทันพิจารณาวาระ 1 ภายในสมัยประชุมนี้ เราไม่ต้องการเห็นเรื่องคดีความแบบ “บอส อยู่วิทยา” เราไม่ต้องการได้ยินวาทะ “ที่นี่ไม่มีบ่อนมีแต่ลักลอบเล่นการพนัน” ร่างฉบับนายมีชัยออกแบบสร้างระบบคะแนนประจำตัวให้นายตำรวจทุกคน ถ่วงน้ำหนักระหว่างอาวุโส ความรู้ ความสามารถ ความพึงพอใจของประชาชน มุ่งขจัดและป้องกันการซื้อขายตำแหน่ง ไม่ต้องเสียเวลาไปเอาใจนาย ไม่ต้องเสียเวลาไปวิ่งเต้น ธุรกิจสีดำหรือสีเทาก็อยู่ได้ยากยิ่งขึ้น แม้ไม่ใช่ร่างสมบูรณ์ทั้งหมด แต่พิจารณาแก้ไขในชั้นกรรมาธิการฯได้ อย่าไปฆ่าตัดตอนกันแต่แรก ด้วยการส่งร่างฯฉบับแปลงสารเข้ามา ขอแค่นี้แหละครับท่านนายกฯ
โพลชี้ชัดยังวุ่นวายเหมือนเดิม
วันเดียวกัน นิด้าโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “การเมือง เศรษฐกิจ และโควิด-19 ในปี 2564” จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,326 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 41.63 เห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองยังคงวุ่นวายเหมือนเดิม นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังมองว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ยาวตลอดทั้งปี รองลงมาคิดว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี มีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ และนายกฯลาออก เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อม็อบคณะราษฎรในปี 2564 ส่วนใหญ่ร้อยละ 43.21 ระบุว่าจะไปเรื่อยๆเหมือนเดิม รองลงมามองว่าจะอ่อนแรงลง ขณะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2563 ส่วนใหญ่ร้อยละ 52.19 ระบุว่าจะแย่ลง รวมถึงส่วนใหญ่ยังเห็นว่าการแพร่ระบาดของโควิดจะรุนแรงขึ้น
ผลอุทธรณ์ “ทักษิณ” ขายหุ้นออก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญมรสุมทางการเมือง จากกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาช่วยผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ หาเสียง จนเกิดประเด็นข้อกฎหมาย อันอาจส่งผลให้พรรคเพื่อไทยถูกยุบได้ ล่าสุดมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ มีรายงานข่าวจากศาลฎีกาแจ้งถึงเอกสารเลขที่ สภ.3 (อธ.3)/309/2563 เป็นผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่ได้พิจารณาอุทธรณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร ฉบับลงวันที่ 25 เม.ย.2560 เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2549 โดยคำวินิจฉัยนี้แยกย่อยออกมาเป็นหลายประเด็น มีนายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ผู้แทนอธิบดีกรมสรรพากร นายประภาส สนั่นศิลป์ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ ผู้แทนกรมการปกครอง ร่วมลงนามในคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2563
ฟังไม่ขึ้นต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่น ล.
คำวินิจฉัยระบุว่า ให้ยกอุทธรณ์ที่คัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามแบบ ภงด.12-03025250-25600328-001-00005 ลงวันที่ 28 มี.ค.2560 เป็นเงินทั้งสิ้น 17,629,585,191.00 (หนึ่งหมื่นเจ็ดพันหกร้อยยี่สิบเก้าล้านห้าแสนแปดหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยเก้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ให้ผู้อุทธรณ์นำเงินภาษี เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ไปชำระ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาบางพลัด กทม. เป็นเงิน 17,629,585,191 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ พร้อมทั้งเงินเพิ่มตามกฎหมาย โดยข้ออ้างของผู้อุทธรณ์ที่ว่า การประเมินภาษีผู้อุทธรณ์เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ การจัดเก็บภาษีไม่เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลรัษฎากร และไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม พิจารณาแล้วเห็นว่าการประเมินภาษีผู้อุทธรณ์ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ เป็นไปตามประมวลรัษฎากรและเป็นธรรมแล้ว ข้อกล่าวอ้างของผู้อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น จึงมีมติให้ยกอุทธรณ์เสียทั้งสิ้น