“บิ๊กตู่” ขันนอต ครม.ส่งท้ายปี กำชับลุยงานเข้มเชิงรุก เปิดเพลงศรัทธาคนดี ไม่มีวันตาย ปลุก ครม.กอดคอสู้ตายฟันฝ่าวิกฤติ “บิ๊กป้อม” เป็นตัวแทน รมต.อวยพรให้กำลังใจนายกฯ เพจเชียร์ลุงมาตามนัดโต้กลับสื่อมวลชน มอบฉายาปี 2563 เป็น “สื่อส่งส่วย” เพราะมองว่าต้องรายงานข่าวราวกับเป็นเมืองขึ้นนายทุนบางกลุ่ม เหน็บสื่อสายทำเนียบฯเปรียบเป็น “นกน้อยในกะลา” นักข่าวรัฐสภาถูกเรียก “กะลาครอบนกน้อย” หนังสือพิมพ์หลายสำนัก-สถานีโทรทัศน์หลายช่องโดนระนาว “ภูมิธรรม” ฉะผู้นำกลวง ฉุดประเทศทรุด เขย่าปี 64 การเมืองจะเปลี่ยนแปลงใหญ่ เปลี่ยนตัวนายกฯ “จิราพร” ติงคนละครึ่งแก้ ศก.ไม่ได้จริง กู้หนี้ 1 ล้านล้าน ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดสุดท้ายส่งท้ายปี 2563 ก่อนก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้สั่งการกำชับให้บรรดารัฐมนตรีทำงานในเชิงรุก บูรณาการทำงานกันให้มากขึ้น ยึดหลักการสำคัญความโปร่งใส มีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้ พร้อมปลุกใจให้ร่วมต่อสู้ฟันฝ่าสารพัดปัญหาไปด้วยกัน

“บิ๊กตู่” ให้พร้อมรับสถานการณ์

เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 29 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยการไลฟ์ผ่านเพจไทยคู่ฟ้าว่า วันนี้ไม่มีการสัมภาษณ์โดยตรงจากสื่อ แต่จะเล่าให้ฟังว่า การประชุม ครม.นัดสุดท้ายของปีนี้ นายกฯวางแนวทางการดำเนินงานวันข้างหน้าอย่างไร เพื่อลดปัญหาอุปสรรค ในช่วงที่ผ่านมา ในปัจจุบันและในอนาคต ขอร้องและขอความร่วมมือจาก ครม.ในการทำงาน เพราะบังคับใครไม่ได้ ต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับกฎหมาย กติกาต่างๆ สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา อาจจะเรียกได้ว่าทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที สิ่งที่เรา ทำได้คือต้องทำตัวเองให้พร้อมรับกับสถานการณ์ตลอดเวลาทั้งวันนี้และวันหน้า

...

จี้ ครม.ทำงานเชิงรุก

“จึงฝาก ครม.ทุกคนทำงานเชิงรุก บูรณาการกันให้มากขึ้น หลักการสำคัญต้องยึดหลักโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบได้เสมอ เราต้องฟันฝ่าต่อสู้ไปด้วยกันทั้ง ครม. รัฐบาลและประชาชนทุกภาคส่วน เราต้องเดินหน้าไปด้วยกันที่เรียกว่า รวมไทยสร้างชาติและตรวจสอบได้เสมอ” นายกฯกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงผ่านไลฟ์ผ่านเพจไทยคู่ฟ้า โดยไม่มีสื่อมวลชนอยู่ในห้องแถลงครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้เจ้าหน้าที่เปิดเพลงศรัทธา ของศิลปินวงหิน เหล็ก ไฟ พร้อมกับมีมิวสิกวิดีโอการทำงานของรัฐบาลประกอบเพลงไปด้วย เพื่อให้เห็นการทำงานในช่วงที่ผ่านมา

“บิ๊กป้อม” เป็นตัวแทน ครม.อวยพรปีใหม่

เมื่อเวลา 14.00 น. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ครม. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นตัวแทน ครม.มอบกระเช้าดอกไม้พร้อมกล่าวอวยพรปีใหม่แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหมว่า ขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปลอดโรค ปลอดภัย ครม.เป็นกำลังใจให้นายกฯทำงาน เพื่อประชาชนคนไทยและประเทศ ชาติต่อไป ขณะที่นายกฯกล่าวขอบคุณ ครม.ที่ช่วยกันร่วมมือร่วมใจกันทำงานอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีสีสันในที่ประชุม ครม.ในระหว่างช่วงพักเบรก ครม.ได้เปิดเพลง คนดีไม่มีวันตาย ศรัทธาและเพลงรักเธอไม่มีวันหยุดด้วย

“ธนกร” วอนฝ่ายค้านเพลาๆการเมือง

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ตนและนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เข้าไปขอพรปีใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมโดยนายกฯให้พรให้มีความสุข มุ่งมั่นทำงานให้ประเทศชาติและประชาชน ทั้งนี้ นายกฯมีความห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ขอให้เชื่อมั่นรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ได้ ที่ผ่านมาประชาชนให้ความร่วมมือดีมาก ขออย่าการ์ดตกเชื่อว่าเราจะผ่านไปได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามอีกไม่กี่วันจะปีใหม่ ขอพรรคฝ่ายค้านช่วยกันเพลาๆ เรื่องการเมือง เอาเวลามาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนสู้โควิด-19 ไปด้วยกันดีกว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาเอาชนะคะคานทางการเมือง แต่ต้องร่วมแรงร่วมใจทำงานฝ่าวิกฤติถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน

เพจเชียร์ลุงตั้งฉายา “สื่อส่งส่วย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐสภา ประจำปี 2563 ทำให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ออกมาระบุขอบคุณที่สื่อตั้งฉายา แต่ขอให้รอดูประชาชนกำลังจะตั้งฉายาสื่อเช่นกัน ขอให้รอฟังนั้น ปรากฏว่าวันเดียวกันเพจที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์หลายเพจได้นำข้อความที่ระบุว่า โซเชียลตั้งฉายาสื่อมวลชนปี 2563 มาเผยแพร่ในเพจ ประกอบด้วย ฉายาสื่อมวลชนปี 2563 ได้แก่ “สื่อส่งส่วย” เนื่องจากรายงานข่าวราวกับว่าเป็นเมืองขึ้นของนายทุนบางกลุ่ม จึงต้องรายงานข่าวที่ถูกใจไปเป็นบรรณาการนายเงิน โดยการทำงานปีที่ผ่านมายังห่างคำว่าเสรีภาพของสื่อมวลชน

นักข่าวทำเนียบฯคือ “นกน้อยในกะลา”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ เพจดังกล่าวยังเผยแพร่ฉายาสื่ออีกหลายฉายา สื่อทำเนียบรัฐบาล ได้ฉายา “นกน้อยในกะลา” สื่อรัฐสภาได้ฉายา “กะลาครอบนกน้อย” ตลอดจนฉายาสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์หลายแห่ง ได้แก่ “มติชินสินสมพร”-“ข่าวปลดซดน้ำส้ม”-“เนฉายขายอุดมการณ์”-“ไทยลัดชัดสามนิ้ว”-“เวิร์กน้อยพ้อยท์สีส้ม” “ว๊ายทีวี สื่อสารมวลม๊อบ”-“เจาะตื้น ทั่วไทย ห่วงใยธนาธร”-“ถามเอียงๆกับจอมขวาน”-“THE DOUBLE STANDARD STAAND UP FOR SOME PEOPLE” และฉายาแห่งปี “สื่อลิเบอร่าน”

“วิษณุ” ไม่งอนบอกปีละหนคนกันเอง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฉายาประจำปีที่ได้รับ “ไฮเตอร์ เซอร์วิส” ว่า ไม่รู้สึกงอนที่ได้รับฉายานี้ เป็นการหยอกล้อเล่นกันสนุก ปีละหนคนกันเอง อยากถามว่า เคยอ่านเรื่องอิเหนาหรือไม่ ช่วงตอนที่ กระเซ้าเย้าแหย่ อิเหนาบอกว่าพี่รักดอกจึงหยอกเล่น เพื่อให้เป็นประเวณีเสน่หาไม่รู้เลยว่าเจ้าจะโกรธา กระนี้พี่ยาจะหยอกไย ดังนั้น ผู้สื่อข่าวก็อยากจะพูดหยอกอย่างเดียวกันกับอิเหนา ฉะนั้นปีหน้าตั้งใหม่ เมื่อถามว่าจะตั้งฉายาให้สื่อด้วยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เรื่องอะไรจะไปต่อปากต่อคำ ไม่รู้จักสื่อมากพอ

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ให้ สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงฉายา “ศักดิ์สบายสายเขียว” ที่สื่อทำเนียบรัฐบาลตั้งให้ เพียงสั้นๆว่า “ได้รับทราบฉายาดังกล่าวแล้ว ไม่ได้รู้สึกโกรธและขอบคุณที่ไม่ลืมกัน”

“วิสาร” ไม่น้อยใจกลายเป็นดาวดับ

นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสื่อมวลชนประจำรัฐสภายกให้เป็นดาวดับแห่งปี จากกรณีกรีดแขนกลางสภาฯ ว่า ขอขอบคุณ เคารพในมุมมอง ไม่คิดน้อยใจอะไร เจตนารมณ์ที่ทำไปเมื่อวันที่ 27 ต.ค. มุ่งหวังจะกระตุก เตือนไปยังผู้นำรัฐบาลต้องตัดสินใจเข้ามาแก้ปัญหาให้ประชาชนส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ ไม่อยากเห็น เด็ก เยาวชน ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตอย่างในอดีตอีก แต่วิธีการอาจแปลกแยกออกไปในมุมมองของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา เราเคารพการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ขณะเดียวกันสื่อต่างประเทศหลายสำนักก็นำเสนอข่าวนี้เช่นเดียวกัน แต่กลับสะท้อนเหตุการณ์เดียวกันไปในมุมมองของประชาธิปไตย ไม่มีบทวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ความรุนแรง ไม่จำเป็นต้องมองเหมือนกัน ที่สำคัญในฐานะ ส.ส.ของประชาชนไม่ว่าจะเคยเป็นรัฐมนตรีหรือไม่เป็น ความทุกข์ร้อนประชาชนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนเป็น ส.ส.เสมอ

“ภูมิธรรม” ฉะผู้นำกลวงฉุด ปท.ทรุด

วันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ทุกครั้งที่เกิดสถานการณ์วิกฤติ ได้เห็นวุฒิภาวะผู้นำรัฐบาลที่อ่อนด้อยต่อการบริหารจัดการปัญหาชัดเจนมากขึ้น ในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 หัวหน้ารัฐบาลไม่เคยสร้างความหวังใดๆให้แก่ประชาชน ไม่ว่าโอกาสและเงื่อนไขทางบวกด้านเศรษฐกิจต่อประชาชน เป็นผู้นำทางการเมืองของประเทศ ที่ขาดหลักนิติธรรมในการบริหารงาน เป็นนายกฯที่สะท้อนถึงภาวะ “กลวง” ไม่เคยตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นปัจจัยลบ ทำให้สังคมไทยยากแก่การฟื้นตัว ขาดความเชื่อมั่น ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ปี 2564 เป็นปีแห่งการเผชิญหน้าที่ไม่อาจหยุดยั้ง ความขัดแย้งทุกมิติจะยิ่งปะทุ ขยายตัว ลุกลามออกไปมากขึ้น หากไม่มี การเปลี่ยนแปลงผู้นำ วิธีคิดและการจัดการในรูปแบบเดิม ยิ่งไม่สามารถแก้ปัญหาใดๆ จะกระหน่ำซ้ำให้ประชาชน ตกอยู่ในภาวะรับไม่ได้ ทนไม่ไหว และจะไม่ทนอีกต่อไป

เขย่าปี 64 ผ่าวิกฤติเปลี่ยนตัวนายกฯ

“ปี 2564 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่น่าจะมีแนวโน้มเกิดขึ้น เพราะข้อสรุปปัจจุบันค่อนข้างชัดเจนว่า นายกฯคนนี้ คือต้นทางของปัญหาทั้งปวง การเปลี่ยนตัวนายกฯ และการแก้ไขกติกาที่หยุดยั้งการสืบต่ออำนาจของคณะผู้นำชุดนี้ ถือเป็นก้าวตั้งต้นสำคัญในการออกจากวิกฤติของประเทศ ตัว พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเป็นหมุดหมายสำคัญของการจัดการวิกฤติประเทศ” นายภูมิธรรม กล่าว

หยัน “คนละครึ่ง” แก้ ศก.ไม่ได้จริง

น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลว่า เป็นโครงการระยะสั้นที่บรรเทาความเดือดร้อนประชาชนช่วงวิกฤติโควิด-19 ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ยังไม่ใช่มาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์แก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยการแจกเงินมาตลอด รวมโครงการคนละครึ่ง แม้จะปรับเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง แต่ยังเป็นการแจกเงินที่ไม่ต่างกับนโยบายก่อนหน้านี้ มิหนำซ้ำยังเปิดสิทธิให้ลงทะเบียนอย่างจำกัด ประชาชนต้องแย่งชิงกัน ทั้งที่เงินที่เอามาแจกเป็นเงินที่ประชาชนต้องแบกรับภาระหนี้ร่วมกัน ทุกคนที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขควรมีสิทธิลงทะเบียนอย่างเท่าเทียม ไม่ควรทำเหมือนโปรโมชันส่งเสริมการขายตามห้างสรรพสินค้าที่จัดนาทีทองให้ประชาชนแย่งชิงกันเพื่อสร้างความนิยม นำมาอวดอ้างภายหลังว่าสำเร็จ

กู้หนี้ 1 ล้านล้านตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

น.ส.จิราพรกล่าวอีกว่า การกู้เงินตาม พ.ร.ก.เยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ผ่านมา 7 เดือนวงเงินสำหรับใช้ฟื้นฟูเยียวยาเศรษฐกิจและสังคม 400,000 ล้านบาท อนุมัติไปแค่ 120,000 ล้านบาท แสดงถึงความไร้ประสิทธิภาพแก้ปัญหาเศรษฐกิจของ “รัฐบาล Very กู้” ที่กู้โดยไม่มีแผนรองรับ ออกมาตรการล่าช้า แก้ปัญหาไม่ตรงจุด หากยังเน้นเพียงมาตรการเสริมแบบนี้ เมื่อมีโควิด-19 ระลอกใหม่อีก รัฐบาลต้องแจกไม่มีที่สิ้นสุด สักวันจะไม่มีเงินพอออกมาตรการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ และหนี้ 1 ล้านล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจะกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

เฉ่งคนจะอดตาย ทอ.ยังซื้อดาวเทียม

น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ @Bench_ BenchaMFP ระบุว่ากองทัพอากาศกำลังจะเป็นหน่วยงานที่ “หาทำ” มากที่สุดในช่วงประเทศตกอยู่ในภาวะย่ำแย่จาก #โควิด19 อีกหน่วยนึง ที่เผยว่าจะจัดหาดาวเทียม Microsatellite 2 ดวง พร้อมสถานีควบคุมและอุปกรณ์อื่นที่เกี่ยวข้อง มูลค่า 1,470,000,000 บาท งบฯพันกว่าล้านเป็นงบฯค่อนข้างสูงในภาวะยากลำบากของประชาชนเช่นนี้ พร้อมทวีตภาพเอกสารที่ระบุว่า 1.โครงการพัฒนาการปฏิบัติในห้วงอวกาศ จัดซื้อดาวเทียม Microsatellite จำนวน 2 ดวง พร้อมสถานีควบคุมภาคพื้น การฝึกอบรม อะไหล่ และอุปกรณ์อื่นที่เกี่ยวข้อง 2.หน่อยเจ้าของโครงการ กรมยุทธการทหารอากาศ กองทัพอากาศ 3.วงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร 1,470,000,000 บาท 4.วันที่กำหนดราคากลาง (ราคาอ้างอิง) ณ วันที่ 27 พ.ย.63 เป็นเงิน 1,465,002,270 บาท

ทำเนียบฯวุ่นกลุ่มขอคืนชูป้ายประท้วง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลา 07.00 น. ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ฝั่งสำนักงานก.พ. น.สพ.บูรณ์ อารยพล แกนนำกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน มาทำกิจกรรมทำจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี และพับเป็นจรวดเพื่อพุ่งเข้าไปในทำเนียบฯให้นายกฯได้อ่านเพื่อประท้วงติดตามทวงถามความคืบหน้าหลังจากที่เคยยื่นเรื่องร้องเรียน กรณีต้องการนำเงินสมทบชราภาพ จากกองทุนประกันสังคมมาใช้ล่วงหน้า 30-50% ให้ผู้ประกันตนนำไปใช้ในภาวะวิกฤติโรคระบาดไวรัสโควิด-19 กระทั่งเวลา 08.00 น. น.สพ.บูรณ์และกลุ่มได้ข้ามถนนมาถือป้ายประท้วงที่ประตู 1 ทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเนียบฯต้องรีบปิดประตูรั้วเหล็ก ไม่ให้รุกล้ำเข้ามาภายใน สร้างความวุ่นวายเล็กน้อย พร้อมแจ้งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบรรดาขบวนรถของคณะรัฐมนตรีทราบว่าต้องเปลี่ยนเส้นทางเข้าทำเนียบฯ เพื่อประชุมคณะรัฐมนตรี โดยใช้ทางเข้าด้านประตูอรทัยแทน

ยื้ดยุดกับ จนท.ถอดกางเกงท้วง ILO

จากนั้น น.สพ.บูรณ์ อารยพล พร้อมด้วยตัวแทนกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน เดินเท้าจากบริเวณถนนนครปฐม หน้าทำเนียบรัฐบาล ไปยังประตู 5 พยายามขอแลกบัตรเข้าไปในทำเนียบฯ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่ ทำให้มีการยื้อยุดกันชุลมุนวุ่นวาย และพยายามนำตัวขึ้นรถกระบะตำรวจ แต่ตัวแทนที่ถูกจับกุมกระโดดลงมา ต่อมาตัวแทนกลุ่มเดินเท้าต่อไปยังสำนักงานองค์การสหประชาชาติ น.สพ.บูรณ์แสดงอารยขัดขืนด้วยการถอดกางเกงเหลือเพียงกางเกงชั้นใน เพื่อประท้วงองค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือไอแอลโอ ที่มีหนังสือมาเตือนสำนักงานประกันสังคม เรื่องการขอใช้เงินสมทบชราภาพก่อนกำหนด เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเจรจาให้กลับ หรือมาปักหลักที่บริเวณถนนนครปฐมเช่นเดิม

ครม.ปรับเงื่อนไข-ขยายเวลา“โค-เพย์เมนต์”

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงภายหลังการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมครม.มีมติอนุมัติปรับปรุงเงื่อนไขโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่ แก่ผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และขยายระยะเวลาดำเนินโครงการไปถึงวันที่ 31 ธ.ค.64 จาก เดิมสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.64 หลังพบมีผู้จบการศึกษาใหม่ที่ไม่สามารถเข้าโครงการได้ ติดเงื่อนไขคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ที่ต้องไม่อยู่ในระบบประกันสังคม ทำให้นักศึกษาจบใหม่จำนวนมากที่อยู่ในประกันสังคมมาแล้ว 1-6 เดือน แต่ต้องออกจากงานขณะที่ยังไม่ผ่านการทดลองงาน เพราะนายจ้างได้รับผลกระทบโควิด-19 คาดว่านักศึกษาจบใหม่ปี 64 จะมี 4.27 แสนคน

ต่อ 3 เดือนเบิกเงิน อสม. 1.57 พันล้าน

น.ส.รัชดากล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยสำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ในชุมชน จำนวน 1.05 ล้านคน วงเงินกว่า 1.57 พันล้านบาท มาตั้งแต่เดือน ต.ค.- ธ.ค.2563 ซึ่งยังพบปัญหาติดขัดในเรื่องของเลขบัญชีธนาคารของ อสม.บางราย ทำให้ไม่สามารถโอนเงินค่าตอบแทนดังกล่าวได้ครบ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ ครม.จึงมีมติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินโครงการฯ จากเดิมที่สิ้นสุดเดือน ธ.ค.2563 เป็นสิ้นสุดเดือน ก.พ.2564 นอกจากนี้ ครม.ยังได้เห็นชอบที่จะจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ อสม. ตามหลักการเดิมไปอีก 3 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2564 วงเงิน 1.57 พันล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่เชิงรุกในการดูแลประชาชนระดับชุมชน พร้อมรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่

บัตรคนจนรับเพิ่ม 500 บาท 3 เดือน

นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้เตรียมพร้อมเพิ่มวงเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14 ล้านคน คนละ 500 บาทเป็นเวลา 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.64) โดยเงิน 500 บาทจะโอนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทุกวันที่ 1 ของเดือน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีจะได้รับเงิน 300+500 รวมเป็น 800 บาทต่อเดือน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับ 200 บวก 500 รวมเป็น 700 บาทต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ตามมติ ครม.และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ถือเป็นของขวัญปีใหม่ที่รัฐบาลมอบให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภค บริโภค ขอย้ำว่าวงเงินที่ได้รับไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ นำไปใช้ที่ร้านธงฟ้าประชารัฐที่รับชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) หรือร้านค้าที่รับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐเท่านั้น

ปชป. ปัดฝุ่นสภากาแฟรับฟังเสียง ปชช.

นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการและ ผอ.สำนักงานประสานงานเครือข่ายองค์กรภายนอกพรรค กล่าวว่า ปี 2564 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานเครือข่ายองค์กรภายนอกพรรค จะรื้อฟื้นสภากาแฟการเมืองข้างถนน ในรูปแบบโมบายเคลื่อนที่เตรียมลงพื้นที่ กทม. โดยการนำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค พร้อมยุวประชาธิปัตย์ ผสมผสานคนทุกรุ่น ทุกกลุ่ม ส.ส. อดีต ส.ก. ส.ข. ผู้สมัครสาขา ผู้แทนจังหวัด เพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งทุกระดับ เพื่อรับฟังพี่น้องประชาชน นำมาจัดทำนโยบายร่วมกัน ทั้งนโยบายระดับชาติและเฉพาะถิ่น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ลงพื้นที่ไปรับฟังประชาชนด้วยตัวเอง เพื่อร่วมคิดกับพี่น้องประชาชนและนำไปสู่นโยบาย ทำได้ไว ทำได้จริง ดังผลงานในฐานะรองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ได้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ประกันรายได้ ซาเล้งเพื่อนยาก เป็นต้น

จับ “ชินจัง” มือเอ็ม 79 ถล่ม กปปส.

วันเดียวกัน พล.ต.ต.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบก.ปฏิบัติการพิเศษ พ.ต.อ.บุญฤทธิ์ ศรีวิจิตร รอง ผบก.ปฏิบัติการพิเศษ สั่งการให้ พ.ต.อ.สุรชัจ สีมุเทศ ผกก.4 บก.ปฏิบัติการพิเศษ พ.ต.ต.ไพบูลย์ พิมพ์กำเนิด สว.กก.4 บก.ปฏิบัติการพิเศษ นำกำลังจับกุมนายยงยุทธ บุญดี หรือแดง ชินจัง อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1353/2557 ลงวันที่ 7 ส.ค.2557 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่า ทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มียุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จับได้ที่หน้าไร่ผิวดาว รีสอร์ท ต.เขาค้อ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

เช็กประวัติหมายจับติดตัว 6 คดี

สืบเนื่องจากเมื่อเดือน มี.ค.57 นายยงยุทธร่วมกับพวกใช้อาวุธเครื่องยิงวัตถุระเบิด M79 ที่เวที กปปส.ถนนแจ้งวัฒนะ มีผู้บาดเจ็บแล้วหลบหนีไป ต่อมาชุดสืบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุคือนายยงยุทธ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับกระทั่งจับกุมตัวได้ดังกล่าว ตรวจสอบประวัติพบมีหมายจับติดตัว 6 หมายจับ ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร เบื้องต้นสอบสวนให้การปฏิเสธนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1.บก.ป.ดำเนินคดีต่อไป

ตร.ผัดฟ้อง 3 นักเรียนเลวอีก 15 วัน

ช่วงสาย ที่ศาลเยาวชนเเละครอบครัวกลาง พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ได้นำตัวเยาวชน 3 คน (ขอสงวนชื่อ) ได้แก่ นายเอ อายุ 18 ปี นายบี อายุ 16 ปี และนายซี อายุ 16 ปี (นามสมมติ) กลุ่มนักเรียนเลวในความผิดคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจากการขึ้นปราศรัยการชุมนุมเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา บริเวณแยกราชประสงค์มายื่นขอผัดฟ้องโดยแจ้งต่อศาลไม่ประสงค์ให้ควบคุม โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตผัดฟ้องเเละให้ผู้ปกครองมารับให้มารายงานตัวครบกำหนดผัดฟ้องอีกครั้งอีก 15 วัน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.พนักงานสอบสวนได้นำตัวเยาวชนมายื่นสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นเพื่อให้พนักงานอัยการสำนักงานคดีเยาวชนพิจารณามีคำสั่งในคดีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท ยังผัดฟ้องได้อีก 30 วัน นับจากวันนี้

“ไมค์” หิ้วพวงหรีดรอเก้อ “บิ๊กตู่” ชิ่ง

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ จ.ระยอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม พร้อมคณะ เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ ไปลงที่สนามกีฬาจังหวัดระยอง เพื่อลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ก่อนนั่งรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว ทะเบียน กย 44 ระยอง ไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติคัดกรองประชาชน ที่ตลาดเนินอุไร ข้างสวนศรีเมือง ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง จากนั้นไปที่ รพ.ระยอง รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 ระหว่างนั้นนายภานุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง แกนนำกลุ่มราษฎร ถือพวงหรีดเขียน ข้อความว่า ไว้อาลัย แด่นายก “โง่” รอมอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ โดยเรียกร้องให้ลาออกและรับผิดชอบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนที่รัฐบาลแก้ปัญหาโควิดไม่ได้ทำให้ระบาดหนัก ประชาชนต้องเสียค่าใช้จ่ายซื้อหน้ากากอนามัยเอง โดยมีชาวบ้านที่เดินสัญจรผ่านไปผ่านมาตะโกนต่อว่ามาประท้วงทำไม แค่นี้จะอดตายกันอยู่แล้ว แต่ไม่มีการตอบโต้กระทบกระทั่งใดๆ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์หลังปฏิบัติภารกิจเสร็จให้เจ้าหน้าที่นำรถไปรับเดินทางออกอีกประตู จึงไม่ได้เจอกัน