“เพื่อไทย” ห่วง โควิด-19 ระบาด ทำธุรกิจ SMEs เจ๊งอีกมาก เตือน 30 ธ.ค. ไทยถูกตัดจีเอสพี ครั้งที่ 2 และอาจโดนเรื่องอื่นอีก แนะ “ประยุทธ์” ช่วย SMEs จริงจัง เลิกเอื้อเฉพาะทุนใหญ่


วันที่ 28 ธ.ค.นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิดครั้งใหม่ที่เกิดจากความล้มเหลวของฝ่ายความมั่นคง ที่ปล่อยให้มีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเถื่อนเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนในชาติทั้งที่รู้กันว่าเมียนมามีผู้ติดเชื้อไวรัสเป็นจำนวนมาก โดยการระบาดของไวรัสได้เริ่มขยายในวงกว้าง และเริ่มทำความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้คาดกันว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 2 แสนล้านบาทแล้ว และอาจจะเพิ่มขึ้นอีก โดยธุรกิจ SMEs จะได้รับผลกระทบมากที่สุดโดยจะมีธุรกิจ SMEs ปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ด้านอาหารทะเลจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะคนจำนวนมากจะไม่กล้าทานอาหารทะเลที่เชื่อว่ามีการใช้แรงงานต่างด้าวที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิด และการที่รัฐบาลส่งอธิบดีกรมประมงออกมาทานกุ้งโชว์ เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารทะเลที่ผ่านการต้มสุกแล้ว จะไม่แพร่เชื้อ แต่แทนที่จะใช้กุ้งจากจังหวัดสมุทรสาคร กลับใช้กุ้งที่มาจากบริษัทใหญ่โดยมีกล่องโชว์ยี่ห้ออย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอกย้ำปัญหาการเอื้อนายทุนใหญ่มากกว่าธุรกิจรายย่อย ทั้งๆ ที่มีพ่อค้าขายกุ้งในจังหวัดสระแก้วต้องฆ่าตัวตายเพราะขายกุ้งไม่ได้ และหากรัฐบาลยังไม่อาจสร้างความมั่นใจขนาดพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมกินกุ้งเอง แต่กลับส่งนายอนุชา นาคาศัย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไปกินกุ้งแทน ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับประชาชน นี่เฉพาะธุรกิจอาหารทะเลเท่านั้น และธุรกิจ SMEs อื่นๆ ก็ได้ผลกระทบทั้งหมด โดยเฉพาะ SMEs ธุรกิจท่องเที่ยวที่น่าจะโดนผลกระทบซ้ำเติมเพิ่มขึ้นจากเดิมขึ้นไปอีก

...

ส.ส.หนองคาย ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ ในวันที่ 30 ธันวาคมที่จะถึงนี้จะถึงกำหนดวันที่สหรัฐตัดจีเอสพีไทยเป็นครั้งที่ 2 ในสินค้า 231 รายการ มูลค่ากว่า 25,433 ล้านบาท หลังจากตัดครั้งแรก จำนวน 531 รายการ มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท มีผลวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ระหว่างสหรัฐกับไทย และจะส่งผลให้การส่งออกไทยที่ติดลบและย่ำแย่อยู่แล้วย่ำแย่มากขึ้นไปอีก อีกทั้งวุฒิสภาสหรัฐฯยังได้ส่งหนังสือท้วงติงไทยในเรื่องการต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมที่ชุมนุมโดยสงบ ซึ่งไทยอาจจะโดนมาตรการด้านอื่นซ้ำเติมอีก อย่างเช่นข้อหาการปั่นค่าเงินบาท ทั้งที่ความจริงคือค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ามากทั้งที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ติดลบหนักและการส่งออกก็ติดลบ แต่กลับโดนข้อหานี้ แสดงว่าสหรัฐฯต้องการแสดงความไม่พอใจกับรัฐบาลไทยใช่หรือไม่ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและหลักปฏิบัติ ก็น่าเป็นห่วงว่าประเทศไทยอาจจะโดนมาตรการลงโทษอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับ SMEs ส่งออกของไทยอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ SMEs ส่งออก ก็แย่กันอยู่แล้วจากปริมาณการส่งออกที่ลดลงแถมค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่ามาก

"ในภาวะผันผวนนี้ พลเอกประยุทธ์จะต้องตั้งหลักคิดให้ดี เพราะหากยังบริหารจัดการไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก หรือฝืนกระแสโลก เศรษฐกิจไทยที่แย่อยู่แล้วจะไม่ฟื้น อีกทั้งธุรกิจ SMEs จะได้รับผลกระทบมากสุด อยากเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ มาสนใจช่วยเหลือธุรกิจ SMEs มากกว่าที่จะคิดข่วยเจ้าสัวอย่างเดียว เพราะหาก SMEs เจ๊งและปิดกิจการกันมาก จะเกิดการว่างงานมากและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้ยากหรือไม่ฟื้นเลย" นายกฤษฎา กล่าว...