ทราบผลอย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว ในการเลือกตั้ง นายก อบจ. และ สมาชิก อบจ. เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ไม่พลิกโผ ผู้กำชัยชนะยังคงวนเวียนอยู่ในตระกูลนักการเมืองใหญ่ คนดังมากบารมีในพื้นที่ส่งลูกเมียเครือญาติ ลงสนามแข่งขัน ทำเอาผู้สมัครหน้าใหม่ แทบไม่มีโอกาสได้ลุ้น
ส่วนการเมืองท้องถิ่นมีความเกี่ยวโยงกับการเมืองระดับชาติอย่างไรนั้น ทาง "รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ มีสิ่งเปลี่ยนแปลง 3 อย่าง ให้ต้องพิจารณา เริ่มจาก 1. ในเรื่องของกฎหมาย 2. โครงสร้างอำนาจการเมืองท้องถิ่น และ 3. พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงของประชาชน ซึ่งในแง่กฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงตามมาตรา 34 ห้ามผู้มีตำแหน่งทางการเมืองช่วยหาเสียง ทำให้พรรคการเมือง ไม่กล้าไปช่วยหาเสียง
นอกจากนี้ยังมีความย้อนแย้ง เช่น ข้อจำกัดผู้สมัครลงเลือกตั้ง ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 1 ปี ทำให้คนขาดคุณสมบัติไม่สามารถลงเลือกตั้งได้ และปัญหาก่อนหน้าในการนับอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 18 ปี รวมถึงการเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่เหมือนการเลือกตั้งส.ส. ไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้า และเลือกตั้งนอกเขต ทำให้ไม่เปิดกว้างให้กับคนรุ่นใหม่
...
ขณะที่โครงสร้างอำนาจการเมืองท้องถิ่น ยังเป็นของตระกูลนักการเมืองที่มีความสำคัญและสัมพันธ์กันอยู่ แม้ไทยไม่มีการเลือกตั้งท้องถิ่นมานานกว่า 7 ปี แต่ก็ยังคงเห็นทั้งฝ่ายการเมืองเดิมและอีกฝ่ายที่ทำหน้าที่รักษาการในการเมืองท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้รักษาการตำแหน่งการเมืองท้องถิ่นได้เข้ามาลงสนามแข่งขัน ด้วยความเป็นตระกูลนักการเมืองในพื้นที่ มีการสืบต่อรุ่นต่อรุ่นเป็นระบบอุปถัมภ์ชุมชนที่มีความสำคัญอย่างมาก แม้มีการนำเสนอวิสัยทัศน์ของผู้สมัครหน้าใหม่ เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตย ก็ไม่มีผลใดๆ กลายเป็นว่าการแก้ปัญหาให้กับคนในพื้นที่ มีความสำคัญมากกว่า ทั้งเรื่องไฟดับ ไฟไม่สว่าง และน้ำไม่ไหล
ในส่วนพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงของประชาชน ซึ่งเรื่องท้องถิ่นต้องเป็นรูปธรรม การจะทำนโยบายสาธารณะโดยรัฐอาจไม่ตอบสนองคนในพื้นที่ เพราะฉะนั้นเรื่องของตระกูลนักการเมืองในพื้นที่ จึงเป็นเรื่องของเจ้าพ่อ เป็นระบบที่ไม่ต้องมีกฎหมายมาอนุมัติ ทำให้แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นพฤติกรรมของประชาชนในการเลือกผู้อุปถัมภ์ชุมชน หรือมีความใกล้ชิดมากๆ กับคนในพื้นที่มาทำหน้าที่
“จะเห็นว่าผลการเลือกตั้ง 70% เป็นไปตามนั้นไม่เคยเปลี่ยน ส่วนอีก 30% อาจเป็นเจ้าพ่อคนใหม่เกิดขึ้นมา จากโครงสร้างอำนาจในชุมชนที่ยังเดิมๆ และโอกาสที่จะมีผู้ใช้สิทธิ์มาลงคะแนนในการเลือกตั้งครั้งนี้ 50% ไม่เกิน 60% ก็เก่งแล้ว เนื่องจากความตระหนักของคนในพื้นที่อาจน้อย และมีหลายปัจจัยทำให้คนไม่มาเลือกตั้ง ทั้งโควิด ภูมิอากาศ”
อีกหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองท้องถิ่นในบางพื้นที่ ซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้กับการเมืองระดับชาติ เช่น เชียงใหม่ โดยนายทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาช่วยหาเสียงจนประสบความสำเร็จ แต่บทบาทของนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ครอบคลุมในหลายพื้นที่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้ส่งผู้สมัคร แต่มีการสนับสนุนทางอ้อม ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่ประสบสำเร็จ เนื่องจากปัจจัยด้านบุคคลในบางพื้นที่สำคัญมากกว่าพรรคการเมือง และบางพื้นที่พรรคการเมืองมีความสำคัญมากกว่าตัวบุคคล เช่น ภาคอีสาน
ส่วนการที่คณะก้าวหน้าไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งท้องถิ่น อย่างที่เคยวิเคราะห์ก่อนหน้า เนื่องจากมีปัจจัยหลากหลายเป็นอุปสรรค อาทิ ตระกูลนักการเมือง และการเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ ซึ่งไม่คอยเป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนในพื้นที่ จากที่เคยประเมินจะได้ที่นั่งนายก อบจ. ไม่เกิน 10 ที่นั่ง แต่กลับไม่ได้แม้แต่ที่นั่งเดียว รวมถึงสมาชิก อบจ. ไม่ได้ที่นั่งมากมาย แสดงให้เห็นว่าการเป็นพรรคการเมืองระดับชาติ มีผลต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นน้อยมาก ไม่เท่ากับการแก้ปัญหาชุมชน และการเป็นตระกูลเจ้าพ่อที่มีผลต่อผู้สมัครที่เป็นเครือญาติ แม้เป็นหน้าใหม่ แต่สามารถเข้ามาแทรกได้ไม่ยาก
...
จากข้อจำกัดในรัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้อดีตนักการเมืองระดับชาติ ลงมาเล่นระดับท้องถิ่นมากขึ้น และมีความจำเป็นในการสร้างสายสัมพันธ์ในท้องถิ่น ให้เป็นตัวขับเคลื่อนการเมืองระดับชาติ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์เหมือนแขนขาซึ่งกันและกัน แต่อย่างไรก็ตามการเมืองท้องถิ่นของไทย ยังมีอุปสรรคไม่มีอิสระ อยู่ในสภาพเดิมๆ จนกลายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ เนื่องมาจากพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ยังรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐ ทำให้อำนาจอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นอำนาจแฝง ถือเป็นมายาคติที่เป็นอุปสรรคต่อการเมืองท้องถิ่นที่ยังคงมีเจ้าพ่อ และผู้มีอิทธิพล ทำให้ดูล้าหลัง ทั้งๆ ที่การกระจายอำนาจต้องไปที่ประชาชน ไม่ใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น.