โฆษก กมธ.ต่างประเทศ ชี้ เลือกตั้งสหรัฐฯ ทำให้ไทยและกลุ่มอาเซียนต้องผนึกกำลังสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มอำนาจการต่อรองทางการค้าให้มากขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนในอดีต และไม่ช้าก็เร็วต้องเน้นเกมรุกในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก แน่นอน
วันที่ 5 พ.ย. นางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาไม่ว่า จะเป็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ นายโจ ไบเดน จะมีผลต่อมุมมองยุทธศาสตร์การต่างประเทศที่มีต่อไทยแน่นอน เช่น นโยบายการต่างประเทศ ที่ไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จากสมรภูมิการค้าของสหรัฐฯ ต่อจีน ซึ่งเป็นสองประเทศมหาอำนาจการค้าของโลก
อย่างไรก็ดี กระบวนทัศน์การเมืองโลกในสถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว อำนาจถูกแบ่งและกระจายออกไป (multi-polarization) สหรัฐฯ ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนในอดีต ขณะเดียวกันหลายๆ ประเทศก็กลายเป็นมหาอำนาจในแต่ละภูมิภาค มีจุดแข็งที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นประเทศไทยต้องจับตายุทธศาสตร์ของหลายๆ ประเทศ และเน้นจุดแข็งที่มีอยู่ ผนึกกำลังกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง และตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและสร้างอำนาจการต่อรองกับประเทศที่มีขนาดใหญ่ให้ได้
นางสาวสรัสนันท์ กล่าวต่อว่า อาเซียนและประเทศไทยกำลังจะเป็นกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ เพิ่มความสำคัญมากขึ้น แม้หลายปีที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะละเลยภูมิภาคนี้ไป แต่เชื่อว่าประธานาธิบดีคนใหม่ต้องเน้นเกมรุกในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก (Indo-Pacific Strategy) ไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน ทั้งนี้หากนายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ อาจจะใช้วิธีที่ละมุนละม่อม ผ่านข้อตกลงทางการค้า (Trade agreement) เช่น CPTPP หรือความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก เป็นต้น เพื่อสร้างมิตร แต่หากเป็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเน้นรูปแบบการแตกหักในด้านต่างๆ เพื่อต่อรอง-กดดันในแบบที่เคยดำเนินการกับประเทศพันธมิตรหลายประเทศ เช่น NAFTA หรือความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ และสหภาพยุโรป หรือ EU เป็นต้น
...