ปัญหาทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีทางแก้ไขได้ ถ้ารู้จักคิดให้ดี ปฏิบัติให้ถูก การคิดได้ดีนั้น มิใช่การคิดด้วยลูกคิด หรือด้วยสมองกล เพราะโลกเราในปัจจุบันจะวิวัฒนาการไปมากเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่มีเครื่องมืออันวิเศษชนิดใด สามารถขบคิดแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างสมบูรณ์ การขบคิดวินิจฉัยปัญหา จึงต้องใช้สติปัญญา คือคิดด้วยสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพื่อหยุดยั้งและป้องกันความประมาทผิดพลาดและอคติต่างๆมิให้เกิดขึ้น ช่วยให้การใช้ปัญญาพิจารณาปัญหาต่างๆเป็นไปอย่างเที่ยงตรง ทำให้เห็นเหตุเห็นผลที่เกี่ยวเนื่องกัน เป็นกระบวนการได้กระจ่างชัดทุกขั้นตอน”

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2539

ผมอัญเชิญ พระบรมราโชวาท ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของแผ่นดิน มาให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกครั้งในวันนี้ เพื่อเป็น “สติ” ให้ทุกฝ่ายนำไปคิดในการแก้ปัญหา ก่อนที่อคติใดๆจะทำให้บ้านเมืองเสียหายร้ายแรง เพราะ “เด็ก” กับ “ผู้ใหญ่” วันนี้คิดไปคนละทาง ในโลกโซเชียลมีเดียของเด็กก็คิดกันไปทางหนึ่ง และ ในโลกโซเชียลมีเดียของคนแก่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็คิดกันไปอีกทางหนึ่ง เหมือน อยู่คนละโลกเดียวกัน ไม่สามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ ระดับครอบครัวที่แตกแยกกันมากมาย ก็เพราะคิดต่างกันนี่แหละ ผมจึงขออัญเชิญ พระบรมราโชวาท มาช่วยเตือน สติ เพื่อให้ทุกคนทุกฝ่ายคิดแก้ปัญหาของชาติด้วย “สติ” และ “ปัญญา”

ผมดีใจที่เห็น คุณชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เคลื่อนไหวเมื่อวันจันทร์ เชิญตัวแทนพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ตัวแทนคณะรัฐมนตรี ไปหารือกัน เพื่อให้มีการ เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเป็นการเร่งด่วน ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันเปิดสมัยประชุม ปกติ ผมเองก็คิดอย่างนี้ อยากเห็นการพูดคุยกันมากกว่าการเผชิญหน้า ที่สำคัญ สภานิติบัญญัติ ก็เป็น 1 ใน 3 อำนาจหลักของประเทศ จึงควรทำหน้าที่ในการช่วยแก้ปัญหาของชาติ ไม่ใช่ปล่อยให้ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ทำหน้าที่เพียงสองอำนาจ

...

แล้วก็ได้ผลสรุปอันน่าพอใจ ตัวแทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ คณะรัฐมนตรี เห็นชอบร่วมกันให้มีการ เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ก่อนวันเปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา “ม็อบเยาวชนปลดแอก” ที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษาส่วนใหญ่ โดยที่ประชุมร่วมเห็นว่า การเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญจะช้าเร็ว 1 หรือ 2 วัน ก็มีค่าทั้งนั้น เพราะถือเป็นการแก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง

ก็เพิ่งเห็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านพูดจาแบบคนมีสติ ก็ในครั้งนี้แหละ

ที่น่ายินดีก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ถูก “ม็อบเยาวชนปลดแอก” ขับไล่ ซึ่งเป็น คู่กรณีโดยตรง ก็เห็นด้วยที่จะใช้กลไกรัฐสภาช่วยแก้ปัญหา นายกฯกล่าวว่า “รัฐบาลยืนยันในวันนี้ให้การสนับสนุนการเปิดประชุมสภาวิสามัญ เพื่อให้มีการพิจารณาร่วมกัน นำข้อเท็จจริงมาพูดกันดีกว่าให้เป็นเรื่องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ เพื่อลดความขัดแย้งลงให้มากที่สุด ยินดีที่จะใช้กลไกรัฐสภา ผมขอยืนยันตรงนี้ วันที่ 20 ตุลาฯ จะมีการหารือเรื่องนี้ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเตรียมการให้พร้อม”

การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ สามารถทำได้ 2 ทาง คือ ส.ส. ส.ว. สองสภารวมกัน หรือ ส.ส.สภาเดียว จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดของสองสภา หรือ 250 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภา ให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อเปิดประชุมสมัยวิสามัญได้ อีกทางหนึ่ง คณะรัฐมนตรีมีมติให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ แล้วแจ้งต่อประธานรัฐสภา ให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ก็ได้ แต่ครั้งนี้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก็ยิ่งดี

ปัญหาขัดแย้งระดับโลก เขายังตั้งโต๊ะเจรจาคุยกันได้ การพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาอย่างมีสติจะทำให้เห็นเหตุเห็นผลที่เกี่ยวเนื่องกัน ดังที่ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเตือนสติ ไม่มีปัญหาใดในโลกที่แก้ไม่ได้ ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันแก้ไขอย่างมีสติและใช้ปัญญา.

“ลม เปลี่ยนทิศ”