รัฐบาล-พปชร.โต้วุ่นเล่นเกมยื้อแก้ รธน. “บิ๊กตู่” โบ้ยไม่เคยสั่งล็อบบี้ใคร สวนชะลอไป 1 เดือนเอื้อประโยชน์อะไร ไม่ทำให้ดีขึ้นหรือเลวลง ป้อง ส.ว.ก็มีเกียรติต้องฟังเขาบ้าง “วิษณุ” ช่วยตีชิ่งรัฐบาลไม่เกี่ยวถ่วงเวลา “ชัยวุฒิ” โต้ตั้ง กมธ.ศึกษา 30 วันช่วยป้องกันญัตติตกไป “พัชรินทร์” อ้างหวังรวมเป็นร่างเดียว “อนุชา” ฉะถ้าคิดคว่ำไม่รอไปอีกเดือน พท.จวกจ้องแต่ซื้อเวลา อัดยั่วยุเผชิญหน้า “ภูมิธรรม” ซัดราดน้ำมันลงกองไฟ เกิด “ตุลาเดือด” จะรับผิดชอบไม่ไหว “โรม” บี้ “ชวน” ชี้ขาด รมต.ควบ ส.ส.โหวตขัดรัฐธรรมนูญ ม.163 กมธ.เดินเครื่องถกนัดแรก 30 ก.ย. “เสรี” ลั่นอย่ามากดดันจะใช้เงินหมื่นล้านต้องคุ้มค่า “บิ๊กแป๊ะ” แฉม็อบมีคนชี้นำเปรียบ “เชือกจูงควาย น้ำลายจูงคน” ขยายปมการเมืองไปเรื่องสถาบันฯ ตร.รวบรวมหลักฐานฟันม็อบ 24 ก.ย.ผิดหลายข้อหา
จากกรณีที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 30 วันก่อนรับหลักการตามข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อ 121 วรรค 3 โดยถูกหลายฝ่ายโจมตีเป็นการเตะถ่วงยื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิเสธไม่เคยไปสั่งการล็อบบี้สมาชิกวุฒิสภา ยืนยันไม่ขัดข้องที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
“บิ๊กตู่” โบ้ยไม่เคยสั่งตั้ง กมธ.ยื้อรื้อ รธน.
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 25 ก.ย.ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมสภากลาโหม ถึงกรณีรัฐสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 30 วันว่า ไม่มีความเห็นอะไร เพราะเป็นเรื่องของรัฐสภา บรรยากาศการประชุมวันแรกเป็นไปได้ด้วยดี แต่วันที่สองเริ่มมีความขัดแย้งกันมากขึ้น ทุกคนก็เห็นกันแล้วว่ามีการก้าวล่วงอะไรต่างๆ หลายคนรับไม่ได้ จึงทำให้เกิดการลงมติกันอย่างที่ว่า รวมถึงเปลี่ยนแปลงญัตติอะไรต่างๆ ที่ตนไม่เคยสั่งอะไร การลงมติไม่ใช่ว่าจะเห็นชอบด้วยกันทั้งหมด เพราะมีบางส่วนก็เห็นแตกต่าง ต้องเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกันไม่ใช่หรือ นั่นคือผู้ทรงเกียรติใช่หรือไม่ เราต้องรับฟังซึ่งกันและกัน หากมีการให้ร้ายว่ากล่าวเบียดเบียนกัน พูดจาไม่สุภาพเป็นเราก็รับไม่ได้ จะทำอย่างไรให้แก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ เขาเรียกว่าความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ฝากพวกเราช่วยแก้ด้วยแล้วกัน
...
ชะลอ 1 เดือนไม่ได้ทำให้ดีขึ้น–เลวลง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า สถานการณ์วันนี้มีปัญหามากมายไม่ว่าจะโรคระบาด การชุมนุมไม่ว่าจะทำเพื่อใครหรือเพื่ออะไรขอฝากประชาชนทั้งประเทศ ช่วยกันคิดด้วยแล้วกัน คิดว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี การทำความดีของทุกคนจะช่วยเป็นกุศลให้บ้านเมืองสงบสุข เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ลงพื้นที่ต่างจังหวัดเห็นว่าทุกคนให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างดี ปัญหาที่เขาสนใจมากกว่าคน กทม.ขณะนี้คือปัญหาปากท้อง อาชีพและรายได้ รัฐบาลได้ทำเต็มที่เพื่อดูแล อยากฝากให้ทุกคนช่วยดูแลชาติบ้านเมืองต่อไป เมื่อถามว่าหลายฝ่ายมองว่ายื้อเวลา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตอนแรกคิดว่าจะเรียบร้อย แต่วันที่สองทุกคนมีวุฒิภาวะและรักในศักดิ์ศรีของตนเอง บางทีการพูดจาอะไรทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปไม่ได้ ที่มองว่าเป็นการชะลอที่ว่ากันว่าชะลอ 1 เดือนเป็นการทำตามกฎหมายไม่ใช่หรือ เป็นการทำตามกติกาของสภาฯ มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปให้ไปดูข้างหน้า ถ้าทุกคนผ่อนสั้นผ่อนยาวไปได้บ้าง มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตนเลย มันไม่ได้ทำให้ตนดีขึ้นหรือเลวลง เป็นเรื่องความคิดเห็นของทุกคน ถ้าทุกคนบอกว่าประชาธิปไตยนี่ก็คือประชาธิปไตย ฉะนั้นต้องรับฟังเหตุผล แล้วจะทำอย่างไรให้เดินหน้าไปด้วยกันได้ด้วยความปรองดอง และการหารือรวมกันต่างๆเหล่านี้ ตนไม่คาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น
โต้ล็อบบี้ใคร ส.ว.มีเกียรติฟังเขาบ้าง
เมื่อถามย้ำว่า ได้มีการล็อบบี้จากรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า จะไปล็อบบี้อะไร จะไปล็อบบี้กับใคร และจะไปสั่งใคร เพราะ ส.ว.ก็มีเกียรติของเขา อย่าลืมว่าใน ส.ว. 250 คน 50 คน ที่มาจากการเลือกของประชาชน อีก 200 คน มาจากผู้ที่มีศักยภาพและประสบการณ์จากภาครัฐและเอกชน ขอให้ฟังพวกเขาบ้างว่าทำอะไรที่เสียหาย “หลายคนมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับผม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอื้อตรงไหน ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องกลไกแต่ละคนที่ทำงานมา ผมไม่ได้หมายความว่าผมจะอยู่จนถึงโลกแตก เพราะอะไรที่หารือกันได้ ช่องทางไหนที่พูดกันได้ มีการแก้ไขตรงนั้นก็ว่ากันไป แก้บางฉบับหรือแก้บางมาตราก็แล้วแต่ ก็ให้เกียรติเขา เพราะ ส.ว.เป็นตัวแทนประชาชน หลายคนมองว่ามาจากผมนั้น บอกเลยว่าไม่รู้จักทั้งหมด เป็นเรื่องการกลั่นกรองขึ้นมา มองประสบการณ์ของเขาก็อนุมัติเท่านั้นเอง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว เมื่อถามว่า ใจนายกฯอยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ไม่เคยตอบว่าอยากให้แก้หรือไม่อยาก แต่ตอบว่าไม่ขัดข้องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะแก้อย่างไรก็ว่ากันมา
“วิษณุ” ช่วยโต้ รบ.ไม่เกี่ยวเกมถ่วง
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นโอกาสดีจะได้นำประเด็นที่สงสัยมาพูดคุยกัน ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของไอลอว์ที่อยู่ระหว่างตรวจสอบรายชื่อ จะให้ กมธ.พิจารณาด้วยก็ได้ เสร็จแล้วทั้งหมดไปว่ากันตอนเปิดสภานำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา จากนั้นลงมติกันเลยได้ฝ่ายค้านไม่ร่วมเป็น กมธ.ด้วยไม่มีปัญหาอะไร เคยเกิดมาแล้วหลายครั้ง ส่วนข้อสังเกตว่ารัฐบาลไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ทราบ ไม่มีใครมอง มีแต่สื่อมอง เรื่องนี้รัฐบาลไม่ได้เข้าไปยุ่งหรือเกี่ยว รัฐบาลไม่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลตกลงกันว่าจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลก็เห็นด้วย แต่ประเด็นต่างๆอาจไม่ตรงกัน ยากจะทำให้เป็นร่างรัฐบาล จึงใช้ร่างกลางของพรรคร่วมรัฐบาล และให้ ส.ส.ร.คิดวิธีการ เมื่อถามว่าบางฝ่ายมองว่าจะทำให้การเมืองนอกสภาฯแรงขึ้น นายวิษณุ ตอบว่า จะมองอะไรให้รุนแรงตนไม่มอง
“ชัยวุฒิ” อ้างตั้ง กมธ.กันญัตติตกไป
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และเลขานุการวิปรัฐบาลกล่าวว่า เหตุผลที่วิปรัฐบาลตัดสินใจให้ตั้งคณะ กมธ.ก่อนรับหลักการไม่ใช่ต้องการซื้อเวลาแต่เราอยากแก้รัฐธรรมนูญ ประเมินสถานการณ์การอภิปรายของส.ว. เมื่อวันที่ 24 ก.ย.แล้ว ไม่มี ส.ว.คนใดเห็นด้วยเลย หากลงมติเลยน่าจะได้เสียงจาก ส.ว.ไม่ถึง 84 เสียง ไม่น่าจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ทำให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป มี ส.ว. หลายท่านยินดีจะให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญถ้าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส.มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างไร ประธานวิปรัฐบาลและวิปวุฒิฯจึงพูดคุยกันจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะพวกเราไม่อยากให้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป จึงได้ข้อสรุปว่าอยากให้พูดคุยทำความเข้าใจกันก่อน ทางออกเดียวคือตั้ง กมธ.ที่ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาเปิดช่องไว้ให้
พปชร.ปัดเตะถ่วงหวังรวมเป็นร่างเดียว
น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ยืนยันการที่รัฐสภามีมติตั้ง กมธ.ขึ้นมาศึกษาก่อนรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไปอีก 30 วัน เพื่อเปิดโอกาสการทำงานร่วมกันของ 2 สภา ให้เวลา ส.ว.ได้ศึกษาก่อน ที่ผ่านมาเป็นเพียงการศึกษาของ ส.ส.เท่านั้น พรรคพลังประชารัฐจึงมองว่าจะเปิดกว้างให้ ส.ว.ได้แสดงความคิดเห็นเต็มที่ การจะรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยหลักการต้องใช้เสียงของ ส.ว. 1 ใน 3 จึงต้องให้เวลา ส.ว.ศึกษาร่างอย่างถี่ถ้วนและถือเป็นความคุ้มค่า ไม่ได้มีความพยายามถ่วงเวลา น่าเสียดายที่ฝ่ายค้านไม่ร่วมสังฆกรรม เพราะเราคาดหวังรัฐบาลและฝ่ายค้านจะได้นำร่างทั้งหมดมาหารือกันก่อนรวมให้เกิดเป็นร่างเดียวที่จะส่งเสนอสภาฯต่อไป
“อนุชา” แก้ต่างถ้าคิดคว่ำไม่รออีกเดือน
นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ญัตติทั้ง 6 ร่างยังไม่สามารถหาข้อยุติได้จริงๆ วุฒิสภาไม่ได้ร่วมตั้งแต่ตอนแรกแล้วจะให้ลงมติเลยดูขัดกระไรอยู่ อาจเกิดสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิด ทางออกดีที่สุดคือตั้ง กมธ.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 121 ถูกต้องตามครรลองครองธรรม และไม่ได้เป็นระยะเวลานาน บอกว่ายื้อหรือจะคว่ำ ทำไมไม่คว่ำตั้งแต่วันนี้ หรือคว่ำวันไหนๆก็ได้ ทำไมต้องไปอีก 1 เดือน แล้วถ้าอีก 1 เดือน พิจารณาแล้วไม่คว่ำจะรับผิดชอบคำพูดอย่างไร และไม่ใช่คิดไว้นานแล้วเพิ่งรู้ตอนจะลงมติ เมื่อรัฐสภาควรมีความยืดหยุ่นในการแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเอาชนะคะคานกัน แค่เดือนกว่าๆ คิดในเชิงลบอย่างเดียวไม่เกิดผลดีกับรัฐสภา และประชาชนที่อยากเห็นการแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าทะเลาะกันก่อนยิ่งพูดคุยลำบาก บอกว่าไม่จริงใจ พูดคุยกับฝ่ายค้านแล้วขอให้ใจเย็นๆ ให้มั่นใจว่าพวกเราไม่มีเจตนาจะดึง ถ้ามาบอกว่าเราดึง วันข้างหน้าท่านจะกลืนน้ำลายตัวเอง ฝ่ายค้านไม่ร่วมไม่เป็นไร แต่ต้องตอบปัญหาสังคม
มาคุยกันอย่าผุดชุมนุมใหญ่ ต.ค.
เมื่อถามว่า มีการพูดกันว่ารู้กันก่อนล่วงหน้าไม่นาน ทำให้มองว่ามีใบสั่ง นายอนุชากล่าวว่า ใครจะมองในแง่ลบก็คือลบ แต่ยืนยันเราคำนึงถึงกระแสของประชาชน เมื่อถามว่า ก่อนที่จะมาถึงจุดตั้ง กมธ.มีหารือในวิป 3 ฝ่ายหรือไม่ นายอนุชากล่าวว่า ที่ผ่านมาวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลหารือกันตลอด ก่อนลงมติรับหรือไม่รับหลักการ แต่ถือเป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์เห็นต่างพรรคพลังประชารัฐเรื่องนี้ จะทำให้มีปัญหาในรัฐบาลหรือไม่ นายอนุชาตอบว่า ทำให้เห็นว่าเราไม่เตี้ยมกันทุกอย่างเป็นเอกสิทธิ์ อยากขอร้องประชาชนหรือคนที่คิดจะชุมนุมสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราอยากให้เกิดเป็นผลลบต่อสังคมหรือต่อประชาชน แต่เราอยากเห็นการเดินหน้าของระบอบประชาธิปไตยที่เบ่งบานที่ประชาชนคาดหวัง เดินไปสู่จุดหมายปลายทางร่วมกัน ต้องมาพูดจากันในรัฐสภา ทุกอย่างมีทางออก
“อนุดิษฐ์” ซัดเป็นอื่นไม่ได้จ้องซื้อเวลา
นายอนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รายละเอียดการอภิปรายจากทุกฝ่ายสมบูรณ์เพียงพอประกอบการตัดสินใจรับหรือไม่รับหลักการได้อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องตั้ง กมธ.พิจารณาก่อนรับหลักการ วิปรัฐบาลปฏิเสธจะลงมติขอให้ตั้ง กมธ.ฯ จึงมองเป็นอื่นไม่ได้นอกจากตั้งใจซื้อเวลา แย่กว่านั้นรัฐบาลอาจไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ อยากเชื่อและหวังอย่างยิ่งว่าทุกฝ่ายจะให้ความสำคัญความต้องการของประชาชน รีบ แก้ไขรัฐธรรมนูญเร่งด่วนจะได้ปลดล็อกนำพาประเทศเดินหน้าต่อไปได้ หวังอย่างยิ่งให้รัฐบาลชี้แจงให้ชัดเจน ทำไม่ได้ ประชาชนตีความได้ว่ารัฐบาลไม่จริงใจแก้ไขรัฐธรรมนูญตอบโจทย์ประเทศ จนเชื่อว่ารัฐบาลหลอกลวง ประชาชนก็มีเหตุผลออกมารวมตัวเรียกร้องความจริงใจมากขึ้น ถ้าคนออกมามากกว่านี้ถึงวันนั้นรัฐบาลอยู่ยาก
เกิด “ตุลาเดือด” รบ.จะรับผิดชอบไม่ได้
นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน โพสต์เฟซบุ๊กว่า เมื่อรัฐบาลผู้มีอำนาจ ไม่ฟังเสียงประชาชน ประเทศไร้ความหวัง อนาคตน่าเป็นห่วง รัฐสภามีมติตั้ง กมธ.ศึกษาฯ ชัดเจนว่ากลุ่มผู้มีอำนาจไม่ได้มองอะไรไปไกลกว่ารักษาอำนาจและผลประโยชน์พรรคพวก เป็นน้ำมันที่ราดลงบนกองเพลิง ผู้มีอำนาจตัดสินใจผิดพลาด ทิ้งโอกาสนำพาประเทศให้ก้าว หลุดพ้นวิกฤติ ไม่คำนึงถึงเสียงเรียกร้องประชาชน ดับความหวังฟื้นคืนประเทศอย่างน่าเสียดาย ดูแคลนพลังของประชาชน ไม่ยอมเปิดช่องทางขับเคลื่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา เป็นปัญหาซ้ำเติมประเทศ รัฐบาลคงเดินหน้าบริหารบ้านเมืองไปโดยไม่ใส่ใจเสียงท้วงติงใดๆ รังแต่จะเพิ่มปัญหามากยิ่งขึ้น รัฐบาลต้องตระหนักถึงวิกฤติการณ์และต้องเป็นผู้รับผิดชอบถอดสลักชนวน สถานการณ์จากนี้เสมือนฟางเส้นสุดท้าย รัฐบาลต้องเร่งคลี่คลายให้ประเทศออกจากวิกฤติให้ได้ อย่าปล่อยให้คำทำนาย “ตุลาเดือด” เกิดขึ้นจริงเลย พวกท่านมิอาจรับผิดชอบความเสียหายทั้งมวลที่จะเกิดขึ้นได้เลย
อัด รบ.ยั่วยุผลักสถานการณ์เผชิญหน้า
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาสมามากแล้ว ความพยายามจะยื้อเวลาออกไป ยืนยันชุดความคิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม อยากอยู่ยาวยังคงดำรงเป้าหมายอยู่ดังเดิม แม้จะอยู่มาเกือบ 7 ปี ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤติสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ประชาชนเห็นความไม่จริงใจของรัฐบาล ที่ใช้วิปรัฐบาล วิปวุฒิสภา ยื้อเวลา นอกจากไม่ถอนฟืนออกจากกองไฟ ยังยั่วยุผลักสถานการณ์ของประเทศไปสู่การเผชิญหน้า กลุ่มนักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนเดินขบวนมาสังเกตการณ์การลงมติรอบรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ยังคงใช้ท่าไม้ตายตามถนัด ลอยตัวเหนือปัญหา ไปมอบนโยบายป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ สะท้อนการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาความเข้าใจและทัศนคติมีปัญหา นักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชน ออกมาแสดงพลังมากขนาดนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะลอยตัวหนีปัญหาโดยไม่ตัดสินใจอะไรเลยไม่ได้
ลั่นสู้ต่อเพื่อได้ รธน.ของประชาชน
ขณะที่นายวันนิวัติ สมบูรณ์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภานำเรื่องสำคัญต่อประเทศชาติมาเล่นการเมืองในสภา เพียงแค่ต้องการชนะทางการเมืองเท่านั้น ทั้งที่การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้วิกฤติประเทศเนื่องจากรัฐธรรมนูญมีปัญหาการบังคับใช้ เช่นเขียนห้ามนักการเมืองที่มาจากประชาชน ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ จึงเป็นรัฐธรรมนูญไม่เห็นหัวประชาชน จะดูการทำงานของ กมธ. ภายใน 1 เดือนจะสรุปอย่างไร เมื่อถึงวันต้องโหวตยืนยันว่าจะรับหลักการของเราต่อไป เราจะสู้ต่อไปการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่จบสิ้น แต่เป็นวันที่เราต้องเริ่มต้นสู้เพื่อประชาชนได้รัฐธรรมนูญของประชาชน
“โรม” ชี้ รมต. ควบ ส.ส.โหวตขัด รธน.ม.163
นายรังสิมันต์โพสต์เฟซบุ๊กว่า กรณีรัฐสภาลงมติให้ตั้งคณะ กมธ.ศึกษาญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ฉบับ ในที่ประชุมได้ทักท้วงการลงมติพบว่า ส.ส.ที่ควบตำแหน่งรัฐมนตรี ได้กดปุ่มโหวตด้วยอาจขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 163 ที่กำหนดว่าถ้าเป็นรัฐมนตรีเมื่อมาเข้าประชุม ห้ามลงมติเว้นแต่เป็นการลงมติในสภาฯในกรณีที่รัฐมนตรีนั้นเป็น ส.ส.ด้วย แต่ครั้งนี้เป็นการประชุมร่วมของรัฐสภาที่มีทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ไม่ใช่การประชุมสภาฯที่มีแค่ ส.ส.เท่านั้น เมื่อมาดูบันทึกผลการลงมติพบว่ามี ส.ส.ที่ควบรัฐมนตรี ลงมติเห็นด้วย อาทิ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาฯ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.เเรงงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม และนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ลงมติ “ไม่เห็นด้วย” ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ไม่ลงมติลาประชุม ฝากไปยังนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ให้ติดตามกรณีที่อาจเข้าข่ายกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญและมีคำวินิจฉัยต่อไป
กมธ.เดินเครื่องนัดแรก 30 ก.ย.
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.ในฐานะ กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ก่อนรับหลักการ กล่าวว่า กมธ.จะนัดประชุมนัดแรกในวันที่ 30 ก.ย.นี้ จะมีการหยิบยกนำประเด็นปัญหาต่างๆที่มีการอภิปรายกันระหว่างวันที่ 23-24 ก.ย.มาหารือใน กมธ. อาทิ จะต้องทำประชามติสอบถามประชาชนก่อนพิจารณารับหลักการหรือไม่ เพื่อให้ตกผลึกทางความคิดร่วมกัน แล้วนำไปเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อตามที่ กมธ.ได้หารือกันมาก็ได้ ส่วน การขาดฝ่ายค้านร่วมเป็น กมธ.นั้นคงมีปัญหาเรื่องการขาดการมีส่วนร่วม อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขาดความน่าเชื่อ เพราะ กมธ.ควรมีองค์ประกอบ 3 ฝ่ายคือ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน และ ส.ว. แต่ยังสามารถเดินหน้าทำงานต่อได้
“เสรี” ลั่นอย่ามากดดันหมื่นล้านต้องคุ้ม
นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.ในฐานะคณะ กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กมธ.จะรวบรวมข้อมูลว่ายังมีจุดเเข็งจุดอ่อน จาก 6 ญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มอีกหรือไม่ อาจมีแนวทางที่ดีกว่าก็ได้ ไม่ได้ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนหรือร่างไอลอว์ตกไป อย่าไปสร้างกระแสให้คนเข้าใจผิด สิ่งที่ควรระวังต้องไม่กระทบสถาบัน เราต้องทำหน้าที่ปกป้องสถาบันด้วย การจะใช้เงินกว่าหมื่นล้านบาท มาเพื่อแค่ไม่ให้ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ ยกเลิกผลพวงประกาศคำสั่ง คสช. หรือเเค่จะแก้ปัญหาบัตรเลือกตั้งและระบบเลือกตั้งเท่านั้นเองหรือ ต้องคิดถึงผลประโยชน์ชาติโดยรวมและความคุ้มด้วย เพราะสมาชิกรัฐสภาบางคนเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติประชาชนมากว่า 16 ล้านเสียงเหมือนกัน ต้องรับฟังด้วย จะแก้รัฐธรรมนูญทั้งที จะใช้วิธีกดดันเอาให้ได้โดยไม่ฟังเหตุผลกันเลย ในที่สุดประเทศจะเสียหายหากปล่อยให้โหวตแล้วมติไม่ผ่านก็มาโทษ ส.ว.และไล่ ส.ว.อีก บ้านเมืองจะอยู่กันอย่างนี้โดยคนกลุ่มหนึ่งมากดดันตัดสินใจเเทนคนทั้งประเทศได้เชียวหรือ
“จตุพร” เตือนจะซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ
ที่ศาลอาญา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า เสียดายที่ ส.ว.และ ส.ส.บางส่วน ไม่ศึกษาบทเรียนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ชนวนใหญ่สู่การชุมนุม 17 พ.ค.35 เกิดการตาย สูญหาย บาดเจ็บ นายกฯ ต้องลาออกแล้วแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ในวันเดียวคือ พรรคร่วมรัฐบาลเบี้ยวการแก้รัฐธรรมนูญให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้ง การตัดสินใจของเสียงข้างมากผิดพลาดที่สุด ตั้ง กมธ.ศึกษา 30 วัน ฟังไม่ขึ้น การแก้มาตรา 256 เป็นประโยชน์ทั้งฝ่ายรัฐบาลจะได้เงื่อนไขอยู่ต่อ ประชาชนจะได้ประชาธิปไตย เมื่อ ส.ว.ไม่ตระหนักเอาฟืนราดน้ำมันใส่กองไฟ ขอเสนอให้ทบทวนเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับไอลอว์เข้ามาพร้อมกัน แล้วโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่าทำลายความหวังประชาชน ปรากฏการณ์วันที่ 24 ก.ย. เชื่อว่าจงใจให้เกิดโดยธรรมชาติ ส.ว. จำนวนหนึ่งฝังรากลึกในตำแหน่ง สนช. สปช. สปท. นานกว่า 14 ปี วิตกว่าจะรื้ออะไรทั้งที่เป็นลาภมิควรได้ตั้งแต่ต้น การอ้างรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านประชามติ อ้างไม่ได้เพราะประชามติไม่ชอบธรรม ไม่เสมอภาค ไม่มี เสรีภาพ ควรกลับไปให้ประชาชนแก้ไขผ่าน ส.ส.ร.
“บิ๊กแป๊ะ” ชี้ม็อบมีเบื้องหลังชี้นำ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นตอนนี้ เราเคยเจอมาทุกรูปแบบปรับตัวตาม แต่อยากเตือนการไปทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงข้อกฎหมาย อยากให้คนที่มาชุมนุมไปย้อนดูเรื่องเก่าๆ อย่าทำด้วยอารมณ์ ไม่ต้องฝากอะไรถึงผู้ชุมนุมเขารู้อยู่แล้วว่า ควรทำตัวอย่างไร บางครั้งเราไม่อนุญาตให้ชุมนุม เขาบอกว่าชุมนุมโดยสงบ แต่เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ไม่เห็นภาพว่าชุมนุมโดยสงบ พูดไปเดี๋ยวจะเป็นประเด็นอีก เชื่อว่าผู้ชุมนุมทราบว่ามาชุมนุมโดยสงบหรือไม่สงบ เชื่อว่ามีการแทรกแซง เบี่ยงประเด็นโดยกลุ่มอื่น
เปรียบ “เชือกจูงควาย น้ำลายจูงคน”
“ส่วนกรณีผู้ชุมนุมพูดจาจาบจ้วงไม่เหมาะสม กระทบความรู้สึก ตำรวจเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทุกครั้งตั้งแต่เริ่มจนจบ ใหม่ๆมีเรื่องการเมือง สักระยะหนึ่งแปลงร่างเป็นเรื่องสถาบัน ใหม่ๆเป็นนักเรียน นักศึกษา หลังเป็นเรื่องอื่นไปแล้ว อยู่กับม็อบมาหลายสมัยเชื่อว่ามีการแทรกแซงและเบี่ยงประเด็นโดยกลุ่มอื่น สาเหตุที่ทำให้ม็อบเปลี่ยนไปจากเยาวชน เพราะเป็นการชี้นำน้องๆเหมือนสุภาษิต “เชือกจูงควาย น้ำลายจูงคน” มีผู้ชักจูงอยู่เบื้องหลัง เรากำลังต่อจิ๊กซอว์อยู่ บางเรื่องพูดไม่ได้ขอสงวนไว้ ห่วงน้องๆม็อบสมัยก่อนไม่มีใครเป็นตัวประกัน แต่ที่ผ่านมาเอานักศึกษา น้องๆชั้นประถม มัธยมมาเป็นตัวประกัน วันที่ 19 ก.ย. เหตุการณ์จบลงด้วยดี ไม่ได้นำอาวุธยุทโธปกรณ์ไปเลย ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต่อไป
ตร.แจงม็อบหน้ารัฐสภาผิดหลายข้อ
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อเวลา 13.30 น.พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. ฐานะโฆษก บช.น. เปิดเผยว่า การชุมนุมเมื่อวันที่ 24 ก.ย. กลุ่มผู้ชุมนุมแจ้งกับ พ.ต.อ.สุรเดช พจนาวงษ์พานิช ผกก.สน.บางโพ จะชุมนุม 10.00-21.30 น. ประชุมร่วมกับรองเลขาธิการวุฒิสภา ให้ใช้พื้นที่กองรักษาการหน้ารัฐสภา มีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าร่วม ประมาณ 1,000 คน ตามปรากฏเป็นข่าว ส่วนการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานว่ากระทำผิดเงื่อนไขหรือไม่ การลงไปบริเวณพื้นผิวการจราจรเข้าความผิด พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำเครื่องหมายบริเวณพื้นที่สาธารณะ ส่วนการคุกคาม ส.ส.หรือ ส.ว.คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะชัดเจนขึ้น มี พล.ต.ต.สุคุณ พรหมายน รอง ผบช.น. ดูแลงานกฎหมายและคดีรับผิดชอบ ส่วน ส.ส.บางคนต้องหนีลงเรือ สภาฯ เดินทางไปได้ทั้งทางน้ำทางบกเดินทางเข้าออกได้ตามปกติ ส่วนการชุมนุมวันที่ 19-20 ก.ย. ผบช.น.ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและพิจารณาความผิด
แจ้งผู้ใช้เฟซบุ๊กหมิ่นเบื้องสูง
ที่ บก.ปอท. เมื่อเวลา 11.00 น. นายสนธิญา สวัสดี อดีตผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสาคร พรรครวมพลังประชาชาติไทย เข้ายื่นหลักฐานต่อ พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น ผบก.ปอท. โดยนายสนธิญาเผยว่า มายื่นหลักฐานให้ตรวจสอบดำเนินคดีกับเจ้าของเฟซบุ๊กรายหนึ่งที่โพสต์เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์จากการชุมนุมของประชาชนปลดแอก ระหว่างวันที่ 19-20 ก.ย. กระทำผิด พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 (2) (3) และจะแจ้งความผู้ให้บริการเฟซบุ๊กประเทศไทย ที่เข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมฯมาตรา 15 ให้ผู้ใช้บริการโพสต์ข้อความอันทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในประเทศ ข้อความบางโพสต์เป็นข้อความเท็จ ขอให้ บก.ปอท.ตรวจสอบตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ไทยภักดีขอนแก่นปกป้องสถาบัน
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่บริเวณศาลาผูกเสี่ยวภายในศาลากลาง จ.ขอนแก่น กลุ่มผู้ชุมนุมในชื่อ “กลุ่มไทยภักดีขอนแก่น” รวมตัวกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ปกป้องสถาบัน โดยนำพระบรม ฉายาลักษณ์ รวมทั้งป้ายข้อความปกป้องสถาบันรูปแบบ ต่างๆมาชุมนุมกัน และแกนนำหมุนเวียนสับเปลี่ยนขึ้นปราศรัย สลับการเปิดเพลงสดุดีจอมราชันย์และกล่าวทรงพระเจริญ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองดูแลรักษาความสงบอย่างเข้มงวด
“ไผ่-เพนกวิน” เลื่อนรายงานตัว
ที่สำนักงานอัยการ จ.ขอนแก่น พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้นัดผู้ต้องหากลุ่มขอนแก่นพอกันที ที่ร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 23 ก.ค. ในกิจกรรมขอนแก่นพอกันที ที่สวนรัชดานุสรณ์ ส่งพนักงานอัยการ หลังการสอบสวนและสรุปสำนวนคดีแล้วเสร็จ ประกอบด้วยนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน นายธนภณ เดิมทำรัมย์ หรืออาร์ตยุ่น นายวชิรวิทย์ เทศศรีเมือง หรือเซฟ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยและนายปฏิวัติ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำเเบงค์ เมื่อถึงเวลานัดหมายแกนนำกลุ่มขอนแก่นพอกันที 3 คน คือ นายธนภณ นายวชิรวิทย์ และนายปฏิวัติ เดินทางมาเข้าพบพนักงานอัยการ ส่วนนายจตุภัทร์และนายพริษฐ์ขอเลื่อนการรายงานตัว
ขอนแก่นพอกันทีปิดปากสู้ชั้นศาล
นายวชิรวิทย์เผยว่า ไม่ได้ให้การใดๆ เหมือนในชั้นพนักงานสอบสวนที่แกนนำทุกคนไม่ได้ให้การ ทั้งหมดจะให้การในชั้นศาลเท่านั้น จากนี้อัยการขอนแก่นนัดหมายวันที่ 9 ต.ค. เพื่อส่งสำนวนต่อศาลแขวงจังหวัดขอนแก่นและจะส่งฟ้องทันที หากทำเรื่องประกันตัวไม่ทัน ทุกคนต้องเข้าเรือนจำทันที สำหรับไผ่และเพนกวินจะเดินทางมาพร้อมกันวันที่ 9 ต.ค.แน่นอน แม้ว่าแกนนำจะมีคดีกลุ่มยังคงขับเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมืองต่อไป เดือน ต.ค. จะมีกิจกรรมใหญ่ที่กำหนดไว้แล้ว
ปะทะคารมหวิดฟาดปากที่นนทบุรี
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่หน้า สภ.เมืองนนทบุรี ถนนนนทบุรี 1 ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี ตัวแทนกลุ่มไทยภักดีราว 20 คน นำโดยนายปฏิยุทธ ทองประจง รองเลขาธิการกลุ่มไทยภักดี เดินทางมาแจ้งความตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ให้ดำเนินคดีกับสถานีโทรทัศน์ช่องวอยซ์ ทีวี ที่ถ่ายทอดสดการปราศรัย ดูหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112 เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับนายชินวัตร จันทร์กระจ่างหรือไบร์ท แกนนำกลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง ประธานกลุ่มเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเครือข่ายราว 30 คน ที่เดินทางมายื่นหนังสือ พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จ.นนทบุรี เพราะทราบข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มไทยภักดีที่จะมาที่ สภ.เมืองนนทบุรี ทำให้เกิดปะทะคารมกัน ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าดูแลความเรียบร้อย สุดท้ายนายปฏิยุทธจึงเปลี่ยนไปแจ้งความที่ สภ.ชัยพฤกษ์
เสื้อเหลืองบุกเดี่ยวหวิดโดนตื้บ
เมื่อเวลา 16.00 น. กลุ่มนักศึกษาในพื้นที่จ.เชียงใหม่ และประชาชนรวมตัวทำกิจกรรม #ฮาบะเอาคิง บริเวณลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ถนนพระปกเกล้า ตำบลศรีภูมิ อ.เมืองเชียงใหม่ ตั้งเวทีปราศรัยโจมตีผลงานรัฐบาล การบริหารจัดการท้องถิ่นและชาติพันธุ์ มีกิจกรรมปักหมุดคณะราษฎรบนแผ่นปูนหนักกว่า 40 กก. ระบุไม่เอารัฐบาลจากการรัฐประหารแต่มีนายเจษฎา ทันแก้วหรือหรั่ง เครา สวมเสื้อสีเหลืองเดินไลฟ์ถือป้าย “ห้ามทำลายทรัพย์สาธารณะ ห้ามปักฝาส้วม” ปะทะคารมกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่โมโหมาก เจ้าหน้าที่รีบเชิญตัวออกไป
อุบลปลดแอกฉุนตั้ง กก.ยื้อรื้อ รธน.
ที่ศาลหลักเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี ว่าที่ ร.ต.ฉัตรชัย แก้วคำปอด อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 4 และกลุ่มคณะอุบลปลดแอก พร้อมสมาชิกเยาวชนจัดปราศรัยและเขียนระบายความในใจ ไม่เห็นด้วยกับรัฐสภาที่มีการตั้งคณะ กมธ.ศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการเล่นเกมยื้อของสมาชิกวุฒิสภาและ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล โดยมีเยาวชนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นแสดงความเห็น พร้อมจำหน่ายเข็มกลัดหมุดคณะราษฎรปี 2563 ให้ผู้สนใจซื้อไปติดปกเสื้อเข็มละ 25.63 บาท หรือชุดละ 100 บาท จะได้เข็มกลัด 5 สี มีเด็กนักเรียนสนใจซื้อไปติดจำนวนหนึ่ง โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.เมืองอุบลราชธานี คอยดูแลรักษาความสงบ
“บดินทร” วุ่นแปะประกาศชุลมุน
ที่หน้าโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) รามคำแหง 43/1 มีการจัดกิจกรรม “ทุบกะลา ตาสว่าง” โดยกลุ่ม “บอดินไม่อินเผด็จการ” นัดหมายเวลา 16.00-18.00 น. ก่อนหน้านี้นายวิสิทธิ์ ใจเถิง ผอ.โรงเรียน ประกาศหยุดเรียน 1 วัน สืบเนื่องจากการนัดหมายชุมนุม และยังได้นำรถบัสโรงเรียนมากั้นรั้วประตู ป้องกันไม่ให้เข้าไปจัดชุมนุม ทำให้ นักเรียนต้องจัดกิจกรรมหน้าโรงเรียนแทน พร้อมติดประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ให้โรงเรียนเปิดพื้นที่ให้นักเรียนทำกิจกรรมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองริมรั้ว โรงเรียน และร่อนประกาศเข้าไปในโรงเรียนเพื่อให้ ผอ.ได้อ่านประกาศนี้ สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นตัวแทนจากโรงเรียนต่างๆ ผลัดกันขึ้นปราศรัย และยังมี น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง มาร่วมการชุมนุมด้วย กระทั่งเวลา 19.15 น. ผู้เข้าร่วมการชุมนุมได้นำโบขาวไปผูกที่ประตูโรงเรียน แสดงสัญลักษณ์ว่าโรงเรียนนี้เป็นของประชาชน ต้องรับฟังนักเรียน ต้องทำตามกฎหมายบ้านเมือง
“วีระ” ร้องดีเอสไอตรวจสอบศรีพันวา
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 11.00 น. นายวีระ สมความคิด เข้าร้องเรียนกับ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีดีเอสไอ ให้ตรวจสอบการได้มาของโฉนดที่ดินโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ว่า เป็นการออกเอกสารสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และให้ตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ด้วยหรือไม่ ได้นำสำเนาภาพถ่ายอาคารที่พักศรีพันวา เอกสารการดำเนินคดีอาญากับนายธวัชชัย อนุกูล เมื่อครั้งเป็นเจ้าพนักงานที่ดิน 7 ฝ่ายทะเบียนสำนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต 167 แผ่น และสำเนาภาพถ่าย 2 แผ่นมอบเป็นหลักฐาน พบว่ามีเอกสาร น.ส.3 ก หลายแปลง และโฉนดที่ดิน 2แปลง สืบค้นข้อมูลพบว่าในอดีตมีชาวบ้านอาศัยอยู่ก่อนเคยขอออกเอกสารสิทธิกับกรมที่ดิน แต่เจ้าหน้าที่แจ้งไม่สามารถออกให้ได้ ภายหลังมีนายทุนเข้าไปถึงพื้นที่ ติดต่อซื้อจากชาวบ้านกลับออกโฉนดได้ กระบวนการออกเอกสารสิทธิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์เผยว่า ต้องศึกษาข้อมูลก่อนจะตั้งคณะทำงานตรวจสอบ ที่ดินเปลี่ยนแปลงสิทธิครอบครองมานานกว่า 40 ปี อาจมีอุปสรรคเรื่องเอกสารพิสูจน์ทราบการเปลี่ยนมือผู้ถือครอง แต่เจ้าหน้าที่มีกระบวนสืบค้น
กมธ.เรียกแจงที่ดิน “ศรีพันวา” 30 ก.ย.
นายอภิชาต ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบที่ดินโรงแรมศรีพันวา จ.ภูเก็ต ว่า ในวันที่ 30 ก.ย. เวลา 09.00 น. กมธ.จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าฯภูเก็ต กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้ามาชี้แจง พร้อมเรียกขอดูเอกสารที่มีการออกโฉนดหรือเอกสารสิทธิทั้งหมด รวมทั้งภาพถ่ายทางอากาศในแต่ละชั้นปีจากกรมป่าไม้ด้วย เพราะเวลานี้สังคมสงสัยในเรื่องทำเลที่ตั้งของโรงแรมดังกล่าวที่อยู่บนภูเขา หากมีการครอบครองอยู่อาศัยทำกินมาก่อนก็ต้องมีที่มาที่ไปและสามารถชี้แจงได้ ส่วนจะมีการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้นหรือไม่จะต้องขอมติจากที่ประชุม กมธ.ก่อน
“สุพัฒนพงษ์” เผยนายกฯ ได้ขุนคลังแล้ว
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและ รมว.พลังงาน ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ถึง รมว.คลังคนใหม่ ภายหลังนายปรีดี ดาวฉาย อดีต รมว.คลัง ลาออกด้วยปัญหาสุขภาพว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม บอกว่าได้ รมว.คลังคนใหม่แล้วคาดว่าจะเริ่มทำงานเดือน ต.ค. แต่ไม่รู้ชื่อ รมว.คลังคนใหม่ นายกฯบอกแค่ว่ามีตัวแล้วในเดือน ต.ค. จะเข้ามาทำงาน นายกฯบอกว่า ทำงานกับตนได้แน่นอน หมายความว่ามีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน
เปิดเซฟพ้น ปตท.มี 154 ล้าน
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 (7) โดยมีบัญชีทรัพย์สินที่น่าสนใจคือ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายก-รัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินกรณีพ้นจากตำแหน่งกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2563 โดยนายสุพัฒนพงษ์แจ้งว่า มีบัญชีทรัพย์สิน 154,916,608 บาท ไม่มีหนี้สิน ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินฝาก 83,611,533 บาท เงินลงทุน 45,951,073 บาท ขณะที่รายการทรัพย์สินอื่นๆที่น่าสนใจ อาทิ นาฬิกา 8 เรือน 6,110,000 บาท แหวนเพชร แหวนทอง 9 วง 4,100,000 บาท รูปภาพแขวนผนัง 8 รูป มูลค่า 1,050,000 บาท นอกจากนี้ ยังแจ้งว่ามีรายได้ระหว่างดำรงตำแหน่งดังกล่าวจากค่าเบี้ยประชุม ค่าที่ปรึกษา โบนัส รวม 20,000,000 บาท
“ประสงค์” ลาออกบอร์ด รสก.จ่อ รมต.
ผู้สื่อขาวรายงานว่า ล่าสุดหนึ่งในแคนดิเดต นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ที่จะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง ทั้งประธานกรรมการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประธานกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และลาออกจากการเป็นกรรมการ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้เหตุผลว่าจะเกษียณจากการเป็นข้าราชการในวันที่ 30 ก.ย.ทั้งนี้ นายประสงค์นั่งเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นการไปนั่งในฐานะเป็นตัวแทนกระทรวงการคลัง เมื่อเกษียณต้องลาออก แต่ยังไม่จำเป็นต้องลาออกตอนนี้ก็ได้ ทำให้ถูกมองว่าเป็นไปได้สูงจะมาเป็น รมว.คลังแทนนายปรีดี ดาวฉาย อดีต รมว.คลัง
พลิ้วยังไม่มีใครมาทาบทาม
ต่อมาเวลา 21.25 น. นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยยอมรับว่าได้ยื่นหนังสือลาจากคณะกรรมการบริหารในรัฐวิสาหกิจชุดต่างๆจริง แต่เพราะกำลังจะเกษียณอายุราชการ เมื่อถามว่า เตรียมเข้ารับตำแหน่งรมว.คลังใช่หรือไม่ นายประสงค์กล่าวเลี่ยงว่า ตอนนี้ยังไม่มีใครทาบทามให้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
หึ่ง พท.ปรับใหญ่ปลดเลขาฯ-หน.ไขก๊อก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทย หลังจากมีกระแสข่าว ส.ส.ไม่พอใจการบริหารงานของผู้บริหารปัจจุบัน เคยมีกระแสข่าวจะเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ยืดเวลาไปจนกว่าจะปิดสมัยประชุมสภาฯ ล่าสุด มีกระแสข่าวขึ้นอีกครั้ง จนวันที่ 23 ก.ย. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องเรียกประชุม ส.ส.ที่รัฐสภา มีการคาดการณ์ว่าในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยวันที่ 28 ก.ย.จะพูดคุยปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรคโฟกัสปัญหาความขัดแย้งในพรรค อยากได้ผู้บริหารพรรคที่เป็นกลาง ไม่เป็น ส.ส.เขต มีบารมีประสานได้รอบทิศ มีคอนเนกชันถึงพรรคร่วมรัฐบาล จึงเตรียมปรับโครงสร้างบริหารพรรคใหม่ ปรับ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พ้นเลขาธิการพรรค มีรายงานว่าอาจเป็นนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงมาทำหน้าที่แทน และจะไม่มีชื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยอยู่ในโครงสร้างพรรคใหม่นี้ ขณะที่มีกระแสว่านายสมพงษ์จะลาออกจากหัวหน้าพรรค จะหลุดจากผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯไปด้วยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 ที่ให้ผู้นำฝ่ายค้านเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งมีสมาชิกมากที่สุดและไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ
โพล มข.ยก “เจ๊หน่อย” ขวัญใจคนอีสาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยผลสำรวจเรื่อง “เก็บคะแนนรางวัลแห่งปีของคนอีสาน ปี 2563 ช่วงที่ 1” เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานเกี่ยวกับบุคคล องค์กรและผลงานที่มีความโดดเด่นที่สุดแห่งปีใน 13 สาขา โดยสำรวจระหว่างวันที่ 18-20 ก.ย. จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป 1,120 รายในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด มีผลที่น่าสนใจ อาทิ นักการเมืองผู้บริหาร ภาครัฐแห่งปี ผู้ได้คะแนนมากที่สุด ได้แก่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ได้คะแนนร้อยละ 25.1 รองลงมานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร้อยละ 23.9 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 12.6 สำหรับผู้บริหารภาคเอกชนแห่งปีที่ได้คะแนนมากที่สุด ได้แก่นายธนินท์ เจียรวรานนท์ ร้อยละ 19.3 นายปัญญา นิรันดร์กุล ร้อยละ 10.1 และ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ร้อยละ 9.4
“เจ๊หน่อย” ลาออก ปธ.ยุทธศาสตร์
เมื่อเวลา 21.15 น. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า “เรียนพี่น้องประชาชนที่เคารพ วันนี้ได้ขอลาออกจากประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยแล้ว ต่อจากนี้ถึงแม้จะไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ยังเป็นสมาชิกพรรคพร้อมยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างกับพี่น้องประชาชนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และร่วมผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับประชาชนให้สำเร็จ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เสนอไว้ทั้ง 5 ญัตติ ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยในช่วงที่ตนทำหน้าที่ให้พรรคมาตลอด จนทำให้ชนะการเลือกตั้งเป็นลำดับ 1 ได้ ส.ส.มากที่สุด ขอบคุณกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคทุกท่านที่ทำงานหนักเพื่อพรรคมาโดยตลอด และขอขอบคุณสมาชิกสภาฯของพรรคทุกท่านที่ได้ร่วมทำงานกันมาด้วยความเสียสละทุ่มเท และร่วมผลักดันญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวอย่างเต็มความสามารถ”