พท.ไม่อุ่นใจ เสียง 60 ส.ว.อิสระยังไม่พอ วางทางหนีทีไล่ทำญัตติแก้ไข รธน.รายมาตรา 4 ประเด็น ยื่นขอเปิดสภาวิสามัญเร่งเกมแก้ให้เร็วขึ้น “นิพิฏฐ์” ป้องกลุ่มส.ส. ไม่ใช่กบฏ ปชป. ปธ.วิป รัฐบาลทำยึกยักโยนเป็นอำนาจ ส.ว.ชี้ขาด “เสรี” ประเมิน ส.ว.เสียงแตกแน่ กลุ่มอิสระย้ำไม่เอา ส.ส.ร.ยกร่างทั้งฉบับ สุดท้ายต้องรอรัฐบาลกดปุ่มสั่ง กกต.ชง ครม.ออกกฎหมายประชามติ ฝ่ายค้านจัดคิวซักฟอกย่อย พท.มุ่งเปิดแผลบริหาร ศก.เจ๊ง-วิกฤติการเมือง ชี้ 5 เงื่อนไขสุกงอมไล่รัฐบาล “โจ้” ลากเรือดำน้ำไปซ้ำในสภาฯ จัดหนักจี้ “สันติ” แจง 2 ปมร้อน โฆษก รบ.โต้
แอมเนสตี้ไม่เคยปิดกั้นเสรีภาพ ยันทำตาม รธน.-ก.ม.สากล ศาลอาญาสั่งปล่อยตัว “อานนท์-ไมค์” แล้ว “อานนท์” ประกาศยกระดับต่อสู้
แม้ ส.ว.ในนามกลุ่มอิสระที่อ้างว่ามีประมาณ 60 คน ประกาศสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมปิดสวิตช์อำนาจ ส.ว.ในการร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ทางพรรคเพื่อไทยยังคงไม่วางใจ เนื่องจากต้องได้เสียง ส.ว.จำนวน 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง จึงจะแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จ
พท.ไม่อุ่นใจเสียง ส.ว.ยังไม่พอ
เมื่อวันที่ 7 ก.ย. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าวถึงกรณีกลุ่ม ส.ว.อิสระ 60 คน ยินดีให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 เรื่องการตัดอำนาจ ส.ว.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทยคืออยากได้รัฐ-ธรรมนูญที่เขียนโดยประชาชนอย่างแท้จริง โดยกระบวนการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หากให้แก้เป็นรายมาตราจะทำโดยรัฐสภา เกรงว่ารัฐธรรมนูญจะไม่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตามถึงจะมี ส.ว.60 คนเป็นแนวร่วมแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 272 แต่คิดว่ายังไม่อยู่ในระดับอุ่นใจได้ เพราะต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง ขณะนี้เสียง ส.ว.ยังไม่พอ แต่ถือว่าสัญญาณดีขึ้น ต้องติดตามต่อไปว่าเสียงจะพอหรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรัฐบาลจริงใจแก้รัฐธรรมนูญแค่ไหน เพราะญัตติที่เสนอแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ พรรคร่วมรัฐบาลก็เสนอให้ตั้ง ส.ส.ร.เช่นกัน ถ้า ส.ว.ไม่เอาด้วยต้องไปคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะ ส.ว. และรัฐบาลเป็นพวกเดียวกัน สังคมจะได้รู้ว่ารัฐบาลจริงใจแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่
...
จ่อแก้รายมาตราเพิ่ม 4 ประเด็น
นายสุทินกล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยได้เผื่อทางเลือกในการแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราไว้เช่นกัน โดยวันที่ 8 ก.ย. ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยจะพิจารณาข้อเสนอการยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราในนามพรรคเพื่อไทย เบื้องต้นมีอยู่ 3-4 มาตราที่พรรคจะยื่นแก้ไขเป็นรายมาตรา เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แก่ 1.มาตรา 272 เรื่องการริบอำนาจ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ 2. มาตราที่เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง เพื่อให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบเหมือนเดิม 3.มาตราเกี่ยวกับที่มา ส.ว. จะแก้ไขให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 4. มาตราที่เกี่ยวข้องกับผลพวงจากคำสั่งยึดอำนาจของ คสช. ที่ยังหลงเหลืออยู่ และเกิดผลกระทบต่อประชาชน
ขอเปิดสภาวิสามัญเร่งให้เร็วขึ้น
นายสุทินกล่าวต่อว่า เดิมคิดว่าจะยื่นแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา หลังญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ผ่านวาระแรกในวันที่ 24 ก.ย.ไปก่อน แต่พรรคประเมินสถานการณ์การเมืองตลอด ต้องปรับไปตามสถานการณ์ อาจยื่นให้เร็วขึ้น ไม่แน่อาจยื่นก่อนปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 25 ก.ย.นี้ รวมถึงกำลังพิจารณาจะยื่นญัตติขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญด้วย เพื่อให้การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญรวดเร็วขึ้น คาดว่าหากที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 วาระแรกแล้ว การพิจารณาวาระ 2 จะใช้เวลา 2 สัปดาห์ คาดว่าเสร็จไม่เกินกลางเดือน ต.ค. จึงต้องยื่นขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อให้ลงมติวาระ 3 ได้ในปลายเดือน ต.ค. จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการเลือก ส.ส.ร. และได้ ส.ส.ร.ก่อนสิ้นปี 2563 เป็นการเร่งขั้นตอนการแก้รัฐธรรมนูญให้เร็วขึ้น
“นพดล” ใจชื้นมีความหวังสำเร็จ
นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า เคยพูดมาก่อนหน้านี้ว่าการแก้รัฐธรรมนูญควรเป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้น และระยะปานกลาง ระยะปานกลาง คือการแก้ไขมาตรา 256 ใช้รูปแบบส.ส.ร. คาดว่า ใช้เวลา 1-2 ปี ส่วนระยะสั้นหรือเฉพาะหน้านั้น ควรแก้ไขเนื้อหาบางประเด็นทำให้ระบบการเมืองดีขึ้น เช่น แก้ระบบการเลือกตั้งสะท้อนเจตจำนงประชาชน การคำนวณจำนวน ส.ส.ไม่ให้ซับซ้อน โดยกลับไปใช้การเลือกตั้งระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ รวมถึงแก้ไขมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาล เพื่อตัดอำนาจ ส.ว. โหวตเลือกนายกฯ ประเด็นนี้หลายพรรคมีท่าทีมานานแล้ว ที่น่าสนใจคือเริ่มมี ส.ว.หลายคนเห็นด้วย พร้อมสนับสนุนการแก้ไขประเด็นนี้ เห็นว่าโอกาสที่จะแก้สำเร็จมีมากขึ้น ทำให้มีความหวังที่ประเทศจะมีกติกาเป็นธรรม
“นิพิฏฐ์” ป้องกลุ่ม ส.ส.กบฏ ปชป.
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ไม่ใช่กบฏหรอก” ตามที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายท่าน ลงชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 แถลงทำนองว่าท่านคือกบฏของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคมีมติให้ตั้ง ส.ส.ร.มาแก้รัฐธรรมนูญ เท่ากับมอบอำนาจที่ประชาชนให้มาไปให้คนอื่นใช้อำนาจนั้นแทนอีกทอดหนึ่ง ดูแปลกๆอยู่ ท่านที่ขอแก้มาตรา 272 ไม่ใช่กบฏหรอก เพราะตอนหาเสียงเลือกตั้งพรรคประกาศไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้เหตุผลว่ามาตรา 272 นี่แหละทำให้ประชาธิปไตยวิปริต เป็นการสืบทอดอำนาจผ่านทาง ส.ว. น่ายินดีที่ ส.ว.หลายคนยินยอมที่จะตัดอำนาจของตนเอง นับว่าน่ายินดี ต้องขอบคุณ ส.ว.เหล่านั้น ดังนั้น การที่ ส.ส.ลงชื่อตัดมาตรา 272 จึงเป็นการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อประชาชน หากใครถือว่ากบฏต่อพรรค แต่จงรักภักดีต่อคำมั่นสัญญาที่มีต่อประชาชน น่าจะมีเหตุผลกว่า ส่วนจะแก้ได้หรือไม่ได้ก็สามารถบอกประชาชนได้ว่า ท่านได้พยายามทำตามจุดยืนที่ประกาศไว้แล้ว
“วิรัช” โยนเป็นอำนาจ ส.ว.ชี้ขาด
นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างการประสาน ส.ว.ผลักดันร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ถือว่าเริ่มมีสัญญาณที่ดี มี ส.ว.ส่วนหนึ่งเริ่มเข้าใจและเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ยังตอบไม่ได้ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ยังมีเวลาทำความเข้าใจจนกว่าจะถึงวันที่ 23-24 ก.ย. ยังไม่อยากไปเร่งรัดอะไร ส่วนกรณีกลุ่ม ส.ว.อิสระเกือบ 60 คน ระบุว่าอยากให้แก้ไขรายมาตรานั้น ในฐานะประธานวิปรัฐบาลต้องค่อยๆ คุยกับทุกกลุ่ม ตอนนี้มีความเห็นที่หลากหลาย แม้แต่ในพรรคร่วมรัฐบาลยังมีความเห็นที่แตกต่าง แต่หากดูตามญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาล เป็นการยืนยันให้อำนาจ ส.ว. ในการตัดสินใจจนถึงขั้นสุดท้าย หาก ส.ส.ร.ยกร่างมาแล้วก็ยังมีสิทธิ์ลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบได้
“เสรี”ประเมิน ส.ว.เสียงแตกแน่
นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. กล่าวว่า ทราบว่า มีการตั้งกลุ่ม ส.ว.อิสระประมาณ 60 คนจริง มีแนวคิดอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายประเด็น แต่ในกลุ่มยังเห็นแตกต่างถึงประเด็นที่จะแก้ไข ในภาพรวมของ ส.ว. 250 คน ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนหลายคนขอรอฟังเหตุผลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ เพราะไม่ใช่มีเพียงร่างของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเท่านั้น แต่อาจมีร่างที่ฝ่ายต่างๆเสนอเข้ามาเพิ่มเติมอีก ส.ว.ขอพิจารณาใช้เหตุผลฟังความให้รอบด้าน ไม่ใช่ตั้งธงไว้ก่อน แต่สุดท้ายแล้วเชื่อว่าที่ประชุมวุฒิสภาคงให้ ส.ว.ทุกคนฟรีโหวตลงมติจะรับร่างแก้รัฐธรรมนูญวาระแรก ในวันที่ 24 ก.ย.หรือไม่ เมื่อถามว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคร่วมรัฐบาลยื่นมาด้วย จะเป็นตัวกดดันให้ ส.ว.ต้องลงมติรับร่างวาระแรกหรือไม่ เพื่อแสดงให้เห็นความจริงใจของรัฐบาล นายเสรีตอบว่า คิดว่า ส.ว.คงไม่ได้ลงมติไปทางเดียวกันทั้งหมด ความเห็นของ ส.ว.แต่ละคนไม่ได้ยึดโยงกับร่างของพรรค พปชร. เชื่อว่ารัฐบาลคงไม่ส่งสัญญาณอะไรมาให้ ส.ว.ลงมติ เพราะเป็นการก้าวก่ายการทำหน้าที่ของ ส.ว
กลุ่มอิสระไม่เอา ส.ส.ร.ยกร่าง
นายกิตติศักดิ์ รัตนะวราหะ ส.ว. กล่าวว่า ขณะนี้มี ส.ว.ที่เห็นด้วยกับกลุ่ม ส.ว.อิสระ เข้าร่วมกลุ่มเกิน 60 คนแล้ว แต่ยังมีความเห็นที่ไม่ตกผลึกร่วมกัน มีถอนตัวไปแล้ว 1 คน กลุ่มที่รวมตัวนั้นส่วนใหญ่เป็นพลเรือน มี ส.ว.ที่เป็นอดีตข้าราชการทหาร 1-2 คนเท่านั้น ในวันที่ 8 ก.ย. ส.ว.กลุ่มอิสระจะหารือกันเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ แนวคิดเบื้องต้นคือไม่เห็นด้วยกับการมี ส.ส.ร.จากการเลือกตั้ง ให้มาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะที่ผ่านมามี ส.ส.ร.มาแล้วหลายชุด หากยังเลือกตั้ง ส.ส.ร. เท่ากับจะได้ตัวแทนนักการเมือง เมื่อได้เงาของ ส.ส.มายกร่าง เชื่อว่าความขัดแย้งไม่จบสิ้น และจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอาจมีความเห็นที่ไม่ตรงกับอีกกลุ่ม ส่วนการแก้ไขมาตรา 272 เท่าที่มีการหารือกัน ส.ว.ไม่มีปัญหาที่จะตัดอำนาจร่วมเลือกนายกฯ
สุดท้ายต้องรอรัฐบาลกดปุ่มสั่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากวุฒิสภาว่า ขณะนี้ภายในวุฒิสภามีความเห็นแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่สงวนท่าทีขอรอดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆค่อยตัดสินใจ เป็นกลุ่มใหญ่สุด มีอยู่ประมาณร้อยกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอดีตข้าราชการ ทหาร ตำรวจและอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 2.กลุ่มที่พร้อมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส.รัฐบาล และ ส.ส.ฝ่ายค้าน มีอยู่ประมาณ 20-30 คน มีจุดยืนชัดเจนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการตั้ง ส.ส.ร. หรือแก้เป็นรายมาตรา เพื่อลดความ ขัดแย้งในประเทศ อาทิ นายวันชัย สอนศิริ นายคำนูณ สิทธิสมาน รวมถึง ส.ว.แถบภาคอีสานที่ใกล้ชิด ประชาชนในพื้นที่ รับรู้ถึงความต้องการของชาวบ้าน 3.กลุ่ม ส.ว.อิสระ 60 คน ที่แม้จะแสดงเจตนาพร้อมแก้ไขมาตรา 272 แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นการแก้เฉพาะรายมาตราเท่านั้น ไม่เอาการตั้ง ส.ส.ร. มายกร่างใหม่ทั้งฉบับ ทำให้ยังไม่มีความชัดเจน คงต้องรอการส่งสัญญาณสุดท้ายมาจากฝั่งรัฐบาลว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร
กกต.ชง ครม.ออก ก.ม.ประชามติ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 8 ก.ย.นี้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออกเสียงประชามติ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ที่บัญญัติให้กรณีที่มีเหตุอันสมควร ครม.จะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดที่ไม่ใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 224 ที่บัญญัติให้ กกต.มีหน้าที่และอำนาจในการให้มีการออกเสียงประชามติ และมาตรา 256 (8) ที่บัญญัติให้ในกรณีที่แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 1 ทั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จัดให้มีการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
ฝ่ายค้านได้ 10 ชม.ซ้อมซักฟอก
นายสมบูรณ์ อุทัยเวียน เลขานุการของประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร นัดตัวแทน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน มาหารือเรื่องการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ได้ข้อสรุปเบื้องต้นคือ ฝ่ายค้านได้เวลา 10 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล ทั้ง ส.ส. และการชี้แจงของรัฐมนตรี ได้เวลา 5 ชั่วโมง เวลาที่จัดสรรดังกล่าวเป็นเพียงกรอบเบื้องต้น หากการอภิปรายพบประเด็นที่ถูกอภิปรายเพิ่มเติม รัฐมนตรีมีสิทธ์ิได้เวลาชี้แจงเพิ่มเติม จากนั้นวันที่ 10 ก.ย. จะมีการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (กมธ.วิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ต่อ
พท.มุ่งเปิดแผลบริหาร ศก.เจ๊ง
นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเตรียม ส.ส.อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติไว้ 15 คน ยังไม่รวม ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นที่ยังไม่รู้จะมีผู้อภิปรายกี่คน พรรคเพื่อไทยจะชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่มีผลเชื่อมโยงไปถึงปัญหาการเมือง เพื่อให้รัฐบาลหาทางแก้ปัญหาเพราะการแก้ปัญหาแบบเดิมๆด้วยการแจกเงิน ไม่ได้ผล คาดหวังว่าประชาชนจะได้เห็นแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจได้ว่าจะมีความหวังหรือหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ และจะกระตุ้นเตือนให้รัฐบาลกระตือรือร้นทุ่มเทการแก้ปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิม
5 เงื่อนไขสุกงอมขับไล่รัฐบาล
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้มี 5 เงื่อนไขที่พร้อมสุกงอมเป็นปัจจัยขับไล่รัฐบาล ได้แก่ 1.การประชุมสภาเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ฝ่ายค้านจะเปิดแผลการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล 2.วันที่ 10 ก.ย. พิจารณารายงานของ กมธ.วิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3.วันที่ 16-18 ก.ย. ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 4.วันที่ 19 ก.ย. ครบรอบ 14 ปีรัฐประหารปี 2549 ที่เป็นวันนัดชุมนุมใหญ่เช็กบิลรัฐบาล ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน จะมีความชัดเจน พล.อ.ประยุทธ์จะลาออกหรือยุบสภา 5.วันที่ 23-24 ก.ย. ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ปัจจัยผลไม้พิษจากต้นไม้ที่เป็นพิษ กำลังส่งผลต่อรัฐธรรมนูญที่เขียนเพื่อให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบ แต่บ้านเมืองเสียหาย วันนี้กำลังกลายเป็นปัจจัยที่สุกงอม นำไปสู่การขับไล่รัฐบาล
ขยี้เทกระจาด 3 พันเอื้อเจ้าสัว
นายอนุสรณ์ยังกล่าวถึงกรณีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วย รมต.ประจำนายกรัฐมนตรี พาดพิงถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาท้วงติงมาตรการที่รัฐบาลเตรียมแจกเงิน 3,000 บาท ที่เป็นการเอื้อนายทุนว่า คุณหญิงสุดารัตน์ห่วงใยมาตรการแจกเงินของรัฐบาลที่ล้มเหลว จึงแนะนำด้วยความปรารถนาดี ถึงมาตรการแจกเงินจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ แจกเงินไม่เป็น เป็นสิ่งที่ประชาชนกังวล เพราะขณะนี้รัฐบาลกู้จนหนี้สาธารณะประเทศจะทะลุเพดานร้อยละ 60 ของจีดีพี ทะลุกรอบการเงินการคลังของประเทศ รัฐบาลควรใช้เงินจากเงินกู้ 4.5 หมื่นล้านบาท เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบตัวจริงจากวิกฤติเศรษฐกิจก่อน ไม่ใช่เอาเงินกู้ไปแจกแบบ “เฮลิคอปเตอร์มันนี่ ไทยแลนด์โอเพ่น” เทกระจาดแจกฟรีให้ใครก็ได้ที่ไปลงทะเบียนขอใช้สิทธ์ิ 15 ล้านคนแบบนี้
“โจ้” ลากเรือดำน้ำไปซ้ำในสภาฯ
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย รองประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน แถลงกรณีกองทัพเรือชี้แจงความจำเป็นที่ต้องจัดซื้อเรือดำน้ำให้ได้ ว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำต้องเป็นการลงนามแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) เท่านั้น ห้ามไปข้องแวะกับบริษัทเอกชน แต่กองทัพเรือไปลงนามกับบริษัท China Shipbuilding and Offshore International Company (CSOC) ซึ่งนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ไม่เคยระบุว่ามอบหมายให้บริษัทใดมาเป็นตัวแทนลงนาม บริษัท CSOC ไม่ใช่รัฐบาลจีน กองทัพเรือไม่เคยพูดว่าประธานาธิบดีจีนมอบให้บริษัทใดมาลงนามแทนรัฐบาลจีน หรือไม่ ส่วนที่กองทัพเรือระบุการจัดซื้อทำอย่างถูกต้องตามมติ ครม.นั้น รัฐธรรมนูญมาตรา 178 ระบุชัดเจนว่าหนังสือสัญญาอื่นที่อาจกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และพิจารณาเสร็จใน 60 วัน นับแต่ได้รับเรื่อง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยส่งให้รัฐสภาพิจารณา วันที่ 9 ก.ย.นี้ จะเปิดหลักฐานเด็ดว่าบริษัทดังกล่าวไม่ได้มาจากรัฐบาลจีน และกองทัพเรือไม่ได้ซื้อแบบจีทูจี หลักฐานดังกล่าวจะสะเทือนไปถึงการซื้อเรือดำน้ำลำแรกด้วย เรื่องนี้ไม่มีมวยล้มต้มคนดู มีหลักฐานพร้อมนำไปเปิดในสภาฯ
จัดหนักจี้ “สันติ” แจงสองปมร้อน
นายยุทธพงศ์กล่าวอีกว่า อีกประเด็นที่จะนำไปอภิปราย คือ สาเหตุที่นายปรีดี ดาวฉาย ลาออกจาก รมว.คลัง ที่เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องการต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือเส้นทางหมอชิต-คูคต ออกไปอีก 40 ปี ทั้งที่สัญญาเก่ายังเหลืออีก 10 ปี จะหมดอายุปี 2572 เนื่องจากบีทีเอสต้องการต่อสัญญาโดยไม่เปิดประมูลใหม่ โดยพบว่าก่อนนายอุตตม สาวนายน ลาออกจาก รมว.คลัง 1 วัน คือวันที่ 15 ก.ค. ได้ถอนเรื่องต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือออกจาก ครม. เพราะกลัวทำผิดกฎหมาย แต่หลังจากนายอุตตมลาออก นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่ทำหน้าที่รักษาการ รมว.คลัง นำเรื่องนี้เสนอเข้าที่ประชุม ครม. ถือเป็นการวางยานายปรีดี จนต้องตัดสินใจลาออก นายสันติต้องตอบเรื่องนี้ให้ได้ว่าเหตุใดจึงลักไก่นำเรื่องที่ถูกถอนออกจาก ครม.ไปแล้ว กลับเข้ามาอีก รวมถึงจะพูดเรื่องปมปัญหาวุฒิการศึกษาปริญญาตรีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ของนายสันติด้วย
“เทพไท” ชี้หยุดยาวกระตุ้น ศก.ดี
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในช่วงวันหยุดยาวชดเชยวันหยุดสงกรานต์ พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวที่ จ.นครศรีธรรมราชจำนวนมาก ทำให้มีเงินสะพัดสนองนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลเป็นอย่างดี ห้องพักโรงแรมเต็มหมดทุกแห่ง ต้องเพิ่มเที่ยวบิน ทำให้สนามบินนครศรีธรรมราชคับแคบขึ้นมาทันที จนเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินแทบไม่มีเวลาว่างพักระหว่างชั่วโมง ขอเรียกร้องให้ผู้อำนวยการสนามบิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ปัญหาความแออัดในสนามบิน และปรับตารางบินให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว และผู้โดยสารสายการบินต่างๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินประจำสนามบินด้วย
พลังชลมุ่งทำงานเพื่อประชาชน
อีกเรื่อง นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังชล กล่าวว่า วันที่ 12 ก.ย. ทางพรรคจะจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 ที่โรงแรมบางแสน เฮอริเทจ จ.ชลบุรี นอกจากมีวาระการพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงานการเงิน และการดำเนินกิจกรรมของพรรคในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงพิจารณาแผนดำเนินการของปีต่อไป ยังจะหารือถึงการดำเนินการทางการเมืองของพรรค ที่ในอนาคตเราจะต้องดำเนินกิจกรรมตามรูปแบบกติกาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง พร้อมนำกระแสสังคมมาพิจารณาต่อท่าทีทางการเมืองของพรรค เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมาย และความต้องการของประชาชน ตามแนวทางประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขต่อไป เพื่อให้พรรคพลังชลตอบสนองความต้องการและเป็นพรรคของประชาชนอย่างแท้จริง
มท.ชงตั้ง ผวจ.–ผู้ตรวจฯ 24 ตำแหน่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ครม. วันที่ 8 ก.ย.นี้ กระทรวงมหาดไทยจะเสนอรายชื่อแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง (ซี10) ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 14 ตำแหน่ง และผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย 10 ตำแหน่ง รวม 24 ราย ซึ่งมีการสอบวิสัยทัศน์รองผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อเลื่อนขึ้นตำแหน่งดังกล่าวไปเมื่อปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้มีตำแหน่ง ผวจ.ที่เกษียณอายุราชการยังว่างอยู่อีก 8 จังหวัด คือ จ.หนองบัวลำภู สตูล ชุมพร ตรัง อ่างทอง อุตรดิตถ์ ระนอง และแพร่ อีกทั้งยังมีจังหวัดที่มี ผวจ.ย้ายออกไปขึ้นจังหวัดใหญ่ และยังไม่ได้ตั้ง ผวจ.เข้าไปทำหน้าที่ 6 จังหวัด คือ จ.สุโขทัย มุกดาหาร มหาสารคาม ชัยนาท แม่ฮ่องสอน และยโสธร อย่างไรก็ตามหากยังไม่มีการเสนอเข้า ครม.ในสัปดาห์นี้ อาจมีการเสนอในสัปดาห์ถัดไป โดยต้องแต่งตั้งให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือน ก.ย. เพื่อแต่งตั้งโยกย้ายในระดับรองลงไปให้ทันก่อนเดือน ต.ค.
รบ.โต้แอมเนสตี้ไม่ปิดกั้นเสรีภาพ
วันเดียวกัน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีแอมเนสตี้ Amnesty International (AI) หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล สำนักงานใหญ่กรุงลอนดอน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก ส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เรียกร้องทางการไทยยกเลิกการตั้งข้อกล่าวหาแกนนำ 31 คน ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงดังนี้ 1.รัฐบาลมิได้ปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออก รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพแห่งการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ สอดคล้องกับบทบัญญัติของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ไทยเป็นภาคี 2.สนับสนุนการใช้เสรีภาพการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น 3.เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ใช้ความระมัดระวังหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ การดำเนินคดีผู้ชุมนุมบางราย เป็นไปตามกฎหมาย โดยผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
ยันทำตาม รธน.–กฎหมายสากล
นายอนุชากล่าวต่อว่า การรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏหลักฐานตามสมควรว่าการทำกิจกรรมที่ผ่านมา เป็นการกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา มีการขออนุมัติศาลออกหมายจับ และส่วนใหญ่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เว้นแต่แกนนำบางรายที่ทำผิดเงื่อนไขสัญญาประกัน ศาลจึงมีการเรียกไต่สวน และถอนประกัน ยืนยันสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดี จะได้รับการเคารพอย่างเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ
สนท.เรียกร้องปล่อย “อานนท์–ไมค์”
ต่อมาเวลา 15.00 น.ที่หน้าศาลอาญา สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา แห่งประเทศไทย (สนท.) ร่วมกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG) และกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย นัดหมายจัดกิจกรรมถามหาความยุติธรรมในกระบวนการที่ออกหมายจับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ประจำศาล นำโซ่มาคล้องกุญแจปิดบริเวณประตู 8-9 และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน จัดกำลังทั้งในและนอกเครื่องแบบประมาณ 40 นาย มาคอยดูแลสถานการณ์ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังนำแผ่นประกาศข้อกำหนดศาลอาญาขนาดใหญ่ ที่ห้ามไม่ให้ใช้เครื่องขยายเสียง หรือกระทำการใดให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าละเมิดอำนาจศาล มาวางตั้งให้ผู้ชุมนุมเห็นด้วย
ศาลอาญาสั่งปล่อยตัวทั้งคู่แล้ว
กระทั่งเวลา 16.00 น.เศษ ศาลอาญาออกข่าวแจกสื่อมวลชนความว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ที่ศาลอาญานัดไต่สวนคดีที่พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก โดยหลังจากศาลไต่สวนคำร้องของพนักงานสอบสวน ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายอานนท์ นำภา ในส่วนของนายภาณุพงศ์ จาดนอก ศาลได้พิเคราะห์ถึงอายุอาชีพ และพฤติการณ์แห่งการกระทำที่ถูกกล่าวหาให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว สมควรให้โอกาสแก่นายภาณุพงศ์โดยได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้มีประกันในวงเงินเพิ่มเป็น 200,000 บาท โดยไม่ต้องมีหลักประกัน และให้นายภาณุพงศ์มารายงานตัวทุก 15 วัน ซึ่งต่อมาผู้ต้องหาทั้งสองไม่ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเข้ามาใหม่ ศาลจึงให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวและรับตัวไว้หมายขัง ต่อมาวันนี้ (7 ก.ย.) พนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกการฝากขังนายอานนท์ และนายภาณุพงศ์ ผู้ต้องหาทั้งสอง โดยระบุเหตุผลในคำร้องว่าได้ทำการสอบสวนมาพอสมควรแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องขังผู้ต้องหาทั้งสองระหว่างการสอบสวนอีกต่อไป ศาลพิจารณาแล้วให้หมายปล่อยผู้ต้องหาทั้งสอง โดยแจ้งเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทราบแล้วเพื่อปล่อยตัวต่อไป
“อานนท์” ประกาศยกระดับสู้
จากนั้นเวลา 17.15 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ได้รับการปล่อยตัวภายหลังถูกคุมขัง 5 วัน เนื่องจากพนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ยกเลิกคำร้องฝากขัง โดยให้เหตุผลว่าสอบปากคำได้บางส่วนแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุมขังระหว่างการสอบสวนอีกต่อไป โดย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นผู้เดินออกมาส่งทั้งคู่ด้วยตัวเอง นายอานนท์กล่าวว่า เพิ่งทราบอย่างฉุกละหุกว่าตำรวจเพิกถอนการฝากขังพวกตน แต่การปล่อยตัวพวกตนครั้งนี้ นับเป็นการให้กำลังใจต่อนักต่อสู้และคนที่โดนคดีทุกคน โดยการต่อสู้ของพวกตนมีความสำคัญในทุกก้าวย่าง ตั้งแต่ฝากขังจนถึงถอนประกัน เชื่อว่าจะเป็นบทเรียนของผู้ใช้อำนาจให้ใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือ ถือเป็นกำลังใจให้เราต่อสู้ ยืนยันว่าต่อจากนี้จะมีการยกระดับ และเดินหน้าชุมนุมในวันที่ 19 ก.ย.ต่อไป มั่นใจว่าต่อจากนี้จะมีคดีมาอีกแน่ แต่เชื่อว่าเราจะชนะร่วมกันทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายเผด็จการ และฝ่ายที่เห็นตรงข้ามกับเรา ยืนยันว่าไม่กังวลหากจะมีคดีความใดอีก เพราะหากจะจับปลา ลงน้ำก็ต้องเปียกอยู่ดี
“ไมค์” ชี้ประสบการณ์ใหม่นอนคุก
นายภาณุพงศ์กล่าวว่า ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่ให้โอกาสเราได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ คุกอาจขังเราได้แค่ตัว แต่ไม่อาจขังอุดมการณ์และความเป็นนักสู้ของเราได้ จากนี้จะเดินหน้าต่อสู้เพื่อให้ได้จุดหมายเดิมของเราต่อไป อย่างไรก็ตามการที่พวกตนตัดสินใจไม่ยอมรับเงื่อนไขการปล่อยตัวของศาล เพราะนั่นเป็นการตีกรอบพวกตนมากเกินไป มันไม่ยุติธรรมกับพวกเรา สำหรับโทษจำคุกนั้น นับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ต้องปรับตัวเยอะพอสมควร บรรยากาศภายในเรือนจำไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เราได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ไม่มีใครปองร้ายเรา ที่สำคัญยังพบนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ได้ให้กำลังใจพวกตน เพราะยุคนี้ตัวเขาไม่มีสิทธิ์ไปสั่งเด็กๆให้ทำหรือไม่ทำอะไรแล้ว มีแต่แรงและกำลังใจให้นักเรียนนักศึกษา