นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม เพื่อไทย แนะ รัฐบาลแก้ปัญหา 3 สารพิษ เน้น "สุขภาพอนามัยประชาชน" ต้องมาก่อน แต่ก็ไม่ทิ้งปัญหาอื่น ยัน ต้องเยียวยาทุกปัญหา

วันที่ 1 ก.ย. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นกรณีมีผู้ขอให้ทบทวนการแบนพาราควอต โดยมีความเห็นโดยสังเขป ดังนี้

1. นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่บุรุษไปรษณีย์ ที่จะส่งปัญหาข้อร้องเรียนไปยังคณะกรรมการวัตถุอันตราย พิจารณา แต่ฝ่ายบริหารมีหน้าที่สำคัญในการกำหนดนโยบายระดับประเทศให้ส่วนราชการ หรือองค์กรที่รับผิดชอบรับไปปฏิบัติ เพื่อดูแลทุกข์ สุข ประชาชนในภาพรวมของประเทศ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง

กรณีนี้ หากมีหลายปัญหาเข้ามาพร้อมๆ กัน "สุขภาพอนามัยประชาชน" จะต้องเป็นทางเลือกลำดับแรกก่อน ส่วนปัญหาอื่น รัฐบาลก็ทิ้งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าสารเคมีที่มีสต๊อกสินค้าค้างอยู่โดยสุจริต เกษตรกรที่เคยใช้ ต้องเยียวยา ต้องหาวิธีอื่นในการกำจัดวัชพืช ซึ่งรัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาทุกปัญหา ทั้งนี้ กมธ.ฯ ได้เคยเสนอแนะไว้ในรายงาน ที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ไปแล้ว จึงควรนำมาปรับใช้ตามสถานการณ์

2. ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ สำหรับผู้ที่ใช้ยาฆ่าหญ้าจำนวนมากนั้น กว่า 90% เป็นเกษตรแปลงใหญ่ ที่สำคัญกว่านั้น เจ้าของเกษตรแปลงใหญ่ ไม่ได้ฉีดยาฆ่าหญ้าด้วยตนเอง แต่จ้าง "คนจน" รับจ้างฉีดยาฆ่าหญ้า แล้วคนจนเหล่านั้น ก็ตายผ่อนส่ง หรือพิการ ต้องตัดแข้ง ตัดขา ดังภาพที่ กมธ.ลงไปเยี่ยมเกษตรกรจังหวัดหนึ่ง ในภาคอีสานซึ่งฟ้องด้วยภาพ แม้แต่พระภิกษุที่มาต้อนรับก็เท้าเน่าจากการเหยียบย่ำหญ้าระหว่างเดินบิณฑบาต

...

3. มีงานวิจัยมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศวิจัยพิษภัยของพาราควอต จน 53 ประเทศทั่วโลกแบนพาราควอตไปนานแล้ว สำหรับในประเทศ เมื่อวานนี้ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณาจารย์ระดับนายแพทย์อาวุโสหลายท่าน ได้แถลงข่าวยืนยันงานวิจัยของ ศ.ดร.พรพิมล กองทิพย์ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่สุ่มตัวอย่าง พบพาราควอตในซีรั่ม หญิงตั้งครรภ์, ในน้ำนมมารดา และในขี้เทาทารก ซึ่งส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมประสาทของเด็กทารก รายละเอียดตามแถลงข่าวที่แนบ

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยนเรศวร โดย ศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล ที่ตรวจพบพาราควอตปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใช้ผลิตน้ำประปา โดยได้เผยแพร่งานวิจัยนี้อย่างแพร่หลายเป็นข่าวอย่างกว้างขวาง

ดังนั้น เมื่อมีงานวิจัยรองรับเช่นนี้ ผู้บริหารประเทศ ทั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก็ควรให้ความสำคัญกับ "สุขภาพอนามัยประชาชน" ก่อน ส่วนปัญหาอื่น รัฐบาลก็ทอดทิ้งไม่ได้ เมื่ออาสาเข้ามาทำงานแก้ไขปัญหาประเทศ ท้ายที่สุดการจะแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน ผมเห็นว่า ควรน้อมนำพระราชดำริ "เกษตรทฤษฎีใหม่" ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ให้ความสำคัญกับเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะปลอดภัยทั้งเกษตรกรเอง และผู้บริโภค ทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญกับสุขภาพอนามัยของคนเองและบุคคลในครอบครัว เฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายที่จะให้ประเทศไทยเป็นครัวอาหารปลอดภัยของโลก จะได้เป็นจริง มิใช่ฝันลมๆ แล้งๆ