“ต้องปิดสวิตช์ ส.ว.กำจัด กล่องดวงใจคณะรัฐประหาร” ก้าวไกล ย้ำจุดยืน แก้ไข รธน. ม.269-272 หวังเสียง ส.ส.พยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อเปิดประตูสภาหาฉันทามติไทย ย้ำ การตั้ง ส.ส.ร. ต้องสอดรับแนวทาง นศ.-ปชช.
วันที่ 26 ส.ค. นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย รังสิมันต์ โรม, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และ ส.ส.พรรคก้าวไกล แถลงต่อสื่อมวลชนจากกรณีที่พรรคเพื่อไทย มีมติ 99.99% ยืนยัน ไม่ร่วมเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ มาตรา 269-272 ที่พรรคก้าวไกล เสนอเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. นั้น
นายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคก้าวไกลขอใช้โอกาสในการแถลงจุดยืนแก้ไขรัฐธรรมนูญในสถานการณ์ปัจจุบันโดยประเด็นสำคัญ คือ พรรคก้าวไกลยังย้ำจุดยืนให้มีการผลักดันร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ โดยให้มีการตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อให้สังคมไทยร่วมกันหาฉันทามติร่วมกัน ด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ซึ่งพรรคก้าวไกลเห็นว่าไม่ควรกำหนดให้ ส.ส.ร. มีข้อจำกัดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรแก้ได้ทุกหมวดทุกมาตรา เเต่สุดท้ายพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่า ส.ส.ร. ไม่ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 และ 2 พรรคก้าวไกลจึงถอนรายชื่อออกมา เพื่อสงวนความเห็นในเรื่องนี้เอาไว้ โดยเมื่อญัตติที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอให้ตั้ง ส.ส.ร. เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา พรรคก้าวไกลจะโหวตสนับสนุนในวาระที่ 1 และจะขอแปรญัตติในวาระที่ 2 ต่อไป เพื่อให้ ส.ส.ร. สามารถโอบรับเจตจำนงของประชาชนได้ทุกกลุ่ม ไม่ปิดกั้นความคิดและความฝันของประชาชนกลุ่มใด ซึ่งสุดท้ายเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นเช่นไร ผ่านกลไกของ สสร. และการลงประชามติ
...
“โดยหลังจากที่มีการยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการจัดตั้ง ส.ส.ร. ไปแล้ว ลำดับต่อไป พรรคก้าวไกลจะเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว เพราะกล่องดวงใจสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในการสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร คือ บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่กำหนดให้มี ส.ว. 250 คน จากการแต่งตั้งของ คสช. และมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี บทบัญญัติเช่นนี้เป็นการทำลายเจตจำนงของประชาชนและขัดต่อหลักการพื้นฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นพรรคก้าวไกลจึงขอเชิญชวนผู้แทนราษฎรที่มาจากประชาชน ช่วยกันเข้าชื่อเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรา 269-272 ในบทเฉพาะกาล ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. ให้ทันในสมัยประชุมนี้”
ชัยธวัช ยังกล่าวต่อไปว่า การปิดสวิตช์ ส.ว.ไม่ควรรอให้ ส.ส.ร. เป็นผู้ดำเนินการ เพราะการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย ส.ส.ร. อาจจะต้องใช้เวลาดำเนินการนานไปอีกเกือบ 2 ปีถึงจะแล้วเสร็จ และประเด็นเรื่อง ส.ว. ที่ ส.ส.ร. ควรจะพิจารณาไม่ใช่เรื่องการพิจารณายกเลิกบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 แต่จะต้องเป็นการพิจารณาว่า ประเทศไทยยังจำเป็นต้องมี ส.ว. อยู่อีกหรือไม่ จะเป็นสภาเดียว หรือถ้ามีสองสภาควรจะต้องเป็นรูปแบบใด
ทั้งนี้ การปิดสวิตช์ ส.ว. ควบคู่กับการผลักดันให้ มี ส.ส.ร. มีความจำเป็น เพราะไม่อาจแน่ใจได้ว่า กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 หรือการจัดตั้ง ส.ส.ร. นั้นจะถูกเตะถ่วงไปนานแค่ไหน ในระหว่างนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความชอบธรรมทางการเมืองลดน้อยลงเรื่อยๆ หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าจะด้วยการยุบสภา หรือนายกฯ ลาออก หากยังไม่ปิดสวิตช์ ส.ว. กลไกสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ที่ฝังอยู่ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญนี้ จะยังคงอยู่เพื่อทำหน้าที่สืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร แทรกแซงการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งยังคงขัดต่อเจตจำนงของประชาชนส่วนใหญ่อีกครั้ง
เมื่อถามว่า การยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว. จะสำเร็จหรือไม่ เพราะยังต้องอาศัยเสียง ส.ว. 1 ใน 3 นายชัยธวัช ยืนยันว่า กระแสสูงในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ได้มาจากความยินยอมพร้อมใจของรัฐบาล หรือของ ส.ว. แต่อย่างใด ทว่าเกิดขึ้นจากเสียงเรียกร้องกดดันจากนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วประเทศ จนกระทั่ง ส.ว. หลายคนเองก็ได้ออกมายอมรับที่จะยกเลิกอำนาจในการเลือกนายกฯ ของตนแล้ว เพื่อไม่ให้การเมืองไทยเดินไปสู่ทางตัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นเป็นเรื่องจำเป็น ความเปลี่ยนแปลงทุกครั้งเกิดขึ้นจากพลังของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดของประเทศ ดังเช่น การเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ที่มาจากการลุกขึ้นสู้ของนักศึกษา ประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 หรือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งเกิดขึ้นจากการต่อสู้ของประชาชนในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 ที่นำมาสู่การรณรงค์ธงเขียวเพื่อปฏิรูปการเมืองในเวลาต่อมา
“พรรคก้าวไกล ขอเชิญชวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากประชาชน จงเชื่อมั่นในพลังและอำนาจของประชาชน ช่วยกันเปิดประตูรัฐสภาแล้วนำเจตจำนงของพวกเขาเข้ามาผลักดัน เพื่อเปลี่ยนไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยสันติ” นายชัยธวัช กล่าว...