เฟซบุ๊กกร้าว แถลงงัดข้อกฎหมายตอบโต้รัฐบาล แทรกแซงสิทธิเสรีภาพเกินขอบเขต ขู่ทบทวนขยายการลงทุน สื่อนอกแห่ตีข่าวจ่อฟ้อง รบ.ไทย “บิ๊กตู่” ตอกย้ำยึดหลัก ก.ม.ไทย อัด “สมศักดิ์-ปวิน” ทำชาติเสียหาย “ดอน” ตอกอย่ามาอ้างกฎหมายสากล “พุทธิพงษ์” ไม่สนกระทบการลงทุน ต้องปกป้องอธิปไตยไทยไว้ “โจ้ ยุทธพงศ์” ปัดใส่ไฟซื้อเรือดำน้ำให้คนเกลียด ทร. สวนอีกดอกถามหาใบมอบอำนาจทำจีทูจี ขืนดึงดันจะเอาให้ได้ไปเจอกันในศาล รธน. “ครูมานิตย์” เหน็บเหมือนเด็กงอแงร้องจะกินขนม โฆษก ทร.งดตอบโต้ปมการเมือง นายกฯ อ้อน กมธ.งบฯ เห็นใจ ทร. ปชป.มีมติให้ถอย ถ้าไม่ยอมอาจโหวตสวน แฉ “บิ๊ก พปชร.” ต่อรองแหลกขอจัดซื้อก่อน 1 ลำก็ได้
ตามที่กองทัพเรือออกมาแถลงตอบโต้พรรคเพื่อไทย ที่ตรวจสอบงบประมาณการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ว่าเป็นการหวังผลทาง การเมือง ให้สะเทือนไปถึงรัฐบาล ล่าสุดนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ประกาศหากยังดึงดันขอจัดซื้อให้ได้ จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
พท.ปัดใส่ไฟให้คนเกลียด ทร.
เมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 25 ส.ค. ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย รองประธานอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 แถลงชี้แจงกรณีโฆษกกองทัพเรือระบุว่าการตรวจสอบการใช้งบประมาณจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาท ของพรรคเพื่อไทย หวังผลทางการเมืองให้สะเทือนไปถึงรัฐบาลว่า ยืนยันไม่เป็นความจริง เรารักกองทัพเรือแต่ต้องทำหน้าที่ ส.ส. ต้องตรวจสอบงบประมาณที่ใช้ไม่เหมาะสมในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทำลายให้คนเกลียดกองทัพเรือ ไม่มีประเด็นการเมือง แม้งบฯ ทั้งหมดล้วนมาจากภาษีประชาชน ต้องใช้ให้คุ้มค่า ขณะนี้รัฐบาลไปกู้เงินมาเกือบเต็มเพดานการคลังจนไม่มีเงินแล้ว ถ้านำเงิน 22,500 ล้านบาทที่ซื้อเรือดำน้ำมาช่วยประชาชนที่กำลังอดอยาก อะไรสำคัญกว่ากัน
...
ถามหาใบมอบอำนาจทำจีทูจี
นายยุทธพงศ์กล่าวอีกว่า เหตุผลที่กองทัพเรือเป็นห่วงจะกระทบต่อความสัมพันธ์กับจีนนั้น เชื่อว่ารัฐบาลคุยกับจีนได้ ตอนนี้ไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจจีนคงเห็นใจอะลุ่มอล่วยได้ หากกองทัพเรือยังคงยืนยันว่าจีทูจีเป็นของจริง ต้องมีหนังสือมอบอำนาจฉบับเต็มที่เรียกว่า Full Powers มาแสดง การอ้างว่า ครม.มอบอำนาจให้ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. (อดีตเสธ.ทร.สมัยนั้น) เป็นตัวแทนไปเซ็นเอ็มโอยูกับประธานบริษัทไชน่าชิปบิวดิ้ง แอนด์ออฟชอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (CSOC) ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีน อยากถามว่ากองทัพเรือมีหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้หรือไม่ ในการแถลงข่าวก็ไม่นำมาแสดง หากย้อนไปดูคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เคยมีคำพิพากษาการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม. กับประเทศออสเตรีย ว่าการทำจีทูจีต้องเป็นระหว่างรัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่ตัวแทนรัฐบาล จากการตรวจสอบหน่วยงานจีนที่มาลงนามเรื่องเรือดำน้ำกับกองทัพเรือ คือองค์การบริหารงานของรัฐด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่รู้เป็นตัวแทนรัฐบาลจีนจริงหรือไม่
เล็งส่งศาล รธน.ใช้งบไม่ถูกต้อง
นายยุทธพงศ์กล่าวต่อว่า ขณะที่บันทึกความเข้าใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ไปลงนามกับ รมว.กลาโหมจีน เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2562 ที่กองทัพเรืออ้างว่ามีข้อตกลงเรื่องการซื้อเรือดำน้ำจีนนั้น จากการตรวจสอบเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือการป้องกันประเทศและพัฒนาขีดความสามารถร่วมกัน ไม่มีเรื่องการซื้อเรือดำน้ำ การประชุม กมธ.งบ ประมาณฯชุดใหญ่ วันที่ 26 ส.ค. พรรคเพื่อไทยจะต่อสู้ให้ยกเลิกการซื้อ หรือเลื่อนการซื้อออกไปก่อน ถ้า กมธ.คนใดลงมติเห็นชอบให้ซื้อเรือดำน้ำท่านต้องรับผิดชอบ จะใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
เย้ยเหมือนเด็กร้องงอแงกินขนม
นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย อนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯ กล่าวว่า การแถลงของกองทัพเรือยืนยันจะซื้อเรือดำน้ำให้ได้ ทำเหมือนเด็กน้อยงอแงร้องไห้กระทืบเท้าจะกินขนมให้ได้ แล้วพาลมาถึงพรรคเพื่อไทย ทั้งที่วันนี้ประเทศถังแตกอาจต้องกู้เงินเพิ่ม จึงไม่เหมาะอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาจีนในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ เป็นตั่วเฮีย นับแต่รัฐประหารปี 2557 ไทยเอาใจทุกเรื่อง ถ้าจะชะลอโครงการออกไปจีนน่าจะเข้าใจ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา กล่าวว่า การที่กองทัพเรือพาดพิงพรรคเพื่อไทยนั้น มองว่าเป็นกองทัพเรือต่างหากที่เปิดประเด็นนี้ให้เป็นเรื่องการเมือง พาดพิงโครงการรับจำนำข้าวในอดีต พรรคเพื่อไทยยืนยันว่า โครงการจำนำข้าวเป็นประโยชน์แก่ประชาชน แต่การจัดซื้อเรือดำน้ำเป็นที่สงสัยอยู่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างไร
นายกฯอ้อน กมธ.งบฯเห็นใจ กองทัพเรือ
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ต้องรอฟังข้อสรุปของ กมธ.งบฯ ตนไม่ต้องไปสั่งการอะไร เท่าที่ฟังการชี้แจงของกองทัพเรือก็มีเหตุผลและความจำเป็น ฝากกราบเรียนไปยัง กมธ.งบฯ ขอให้ความเป็นธรรมด้วย เพราะหลายกระทรวงถูกตัดงบฯไปหลายกิจกรรม ทั้งเรื่องการศึกษา เรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องต่างๆ กรณีนี้เป็นงบฯของฝ่ายความมั่นคง ลองพิจารณาดูว่าเราจะเดินหน้ากันไปอย่างไร จะหาวิธีการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร และต้องหาวิธีการแก้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย
โฆษก กองทัพเรืองดตอบโต้ปมการเมือง
พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือไม่มีนโยบายให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมในประเด็นเรือดำน้ำแล้ว เนื่องจากในการแถลงข่าวทุกคนพูดชัดเจนเพียงพอแล้ว ไม่อยากให้กรณีนี้ถูกนำไปใช้จุดประเด็นการเมืองอีก กองทัพเรือถูกกล่าวหาว่าเป็นการจัดซื้อที่ผิด ดังนั้นสิ่งที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเข้าใจผิดก็ต้องอธิบายให้เข้าใจ ถ้าบอกว่ากองทัพเรือผิดชี้แจงไม่ครบถ้วน ควรติดต่อสอบถามก่อน ไม่ใช่ออกมาแถลงต่อสาธารณชนว่ากองทัพเรือทำผิด ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดตามไปด้วย ยืนยันว่ากองทัพเรือจะทำงานตามภารกิจหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเรือดำน้ำก็ตาม ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นและไว้วางใจ ส่วนความเห็นคนที่ชอบหรือไม่ชอบเรื่องที่จะมีเรือดำน้ำนั้น เป็นความเชื่อที่ฝังในจิตใจแต่ละคน ห้ามกันไม่ได้ แต่อยากให้ประชาชนเชื่อว่ากองทัพเรือ ยังคงเป็นกองทัพเรือของประชาชน ที่มุ่งมั่นทำงาน และจะคงปฏิบัติงานตามภารกิจป้องกันประเทศทางทะเล และช่วยเหลือประชาชนในทุกความเดือดร้อนอย่างสุดความสามารถ
ปชป.ขอมติพรรคคว่ำเรือดำน้ำ
ด้านนายชัยชนะ เดชเดโช รองประธาน กมธ.งบประมาณฯ กล่าวว่า แม้พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่เคยประกาศไว้ชัดเจนว่าหากเรื่องใดจะไม่เห็นด้วย ต้องใช้มติพรรคพิจารณาในเรื่องที่สำคัญและเป็นเรื่องหลัก โดย กมธ.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีการหารือกันเบื้องต้นแล้ว ยืนยันว่าจุดยืนที่จะออกมา จะเป็นจุดยืนที่ดีให้กับประชาชน และเป็นคำตอบที่ดีให้กับประเทศชาติ ทั้งนี้ การพิจารณางบจัดซื้อเรือดำน้ำแม้จะจบในชั้นคณะอนุกรรมาธิการแล้ว แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจก็ต้องรอมติพรรค
มีมติให้ ทร.ถอยจัดซื้อเรือดำน้ำ
ต่อมาช่วงเย็น นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และโฆษก กมธ.งบประมาณฯ แถลงว่า ที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ กมธ.งบฯทั้ง 7 คนของพรรคไปหารือกับ กมธ.งบฯพรรคร่วมรัฐบาล เสนอให้รัฐบาลขอให้กองทัพเรือทบทวนชะลอนำวาระการจัดซื้อเรือดำน้ำออกไปจากวาระการพิจารณาของ กมธ.งบชุดใหญ่ ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ เพราะเห็นว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 สำคัญกว่า แต่ถ้ากองทัพเรือยังยืนยันจะจัดซื้อเรือดำน้ำให้ได้ กมธ.งบฯทั้ง 7 คนของพรรคก็มีท่าทีไม่สนับสนุนให้ผ่านงบจัดซื้อเรือดำน้ำ หากยังนำเข้าต่อพรรคขอสงวนสิทธิ์ที่จะโหวตสวน ขณะเดียวกัน ประธานวิปพรรคประชาธิปัตย์ ประสานไปยังนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้แจ้งต่อ ครม.ถึงมติพรรค
แฉมีต่อรองขอจัดซื้อก่อน 1 ลำ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในที่ประชุม ส.ส.ส่วนใหญ่แสดงความเห็นคัดค้านการจัดซื้อเรือดำน้ำในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้ ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เร่งรีบเดินทางกลับจากการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.ระยอง เพื่อมาร่วมประชุมสรุปท่าทีของพรรคต่อกรณีดังกล่าว แต่ปรากฏว่ามาไม่ทัน เพราะที่ประชุมพรรคมีมติไปแล้ว มีรายงานว่าแกนนำพรรคพลังประชารัฐ พยายามโทร.ประสานตลอดเวลาขอให้พรรคประชาธิปัตย์ผ่านงบฯจัดซื้อเรือดำน้ำ 1 ใน 2 ลำก่อนได้หรือไม่
“บิ๊กตู่” ฉะคนทำสังคมไม่สงบ
เมื่อเวลา 07.20 น. ที่โรงแรมสตาร์ คอนเวนชั่น อ.เมืองระยอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จ.ระยอง วันที่ 24 ส.ค. ถือเป็นการประชุม ครม.สัญจรครั้งแรกหลังการปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/2 และหลังผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยทันทีที่มาถึง นายกฯได้เดินทักทายผู้สื่อข่าวอารมณ์ดี จากนั้นเดินเยี่ยมชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์ กศน.พรีเมียม ภายใต้แบรนด์ ONE (จ.ระยอง-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี) โครงการพัฒนาระบบท่าเรืออัจฉริยะ ท่าเรือแหลมฉบัง โครงการ Circular Living โดยกลุ่มบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC นำนายจิรศักดิ์ ปิตุรักษ์วงศ์ อายุ 57 ปี ที่นำขยะมาสร้างสรรค์เป็นชิ้นงานศิลปะ นำออกขายสร้างรายได้ นายกฯกล่าวระหว่างเดินชมนิทรรศการว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางประชาชนแล้วปลอดภัย เชื่อมั่นสังคมต้องการความสงบเรียบร้อยและปลอดภัย ส่วนใครที่ทำให้สังคมเกิดความไม่สงบเรียบร้อยก็ต้องรับผิดชอบ เราต้องคิดและทำให้เด็ก เยาวชนเป็นอนาคตของชาติ
เป็นสักขีพยานมอบที่ดินทำกิน
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานสักขีพยานในโอกาสนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ให้แก่ ผวจ.ฉะเชิงเทรา และ ผวจ.ระยอง ก่อนเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) ทั้งนี้ ก่อนที่นายกฯ เดินทางมาถึง นายสัตวแพทย์ บูรณ์ อารยพล ตัวแทนกลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน (ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ในมาตรา 33, 39 และ 40) มาขอพบนายกฯ เพื่อยื่นข้อเรียกร้องจากการตกงาน
หยอด นศ.ชุมนุมเป็นวิถีประชาธิปไตย
กระทั่งเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์แถลงหลังการประชุม ครม.ว่า ในการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 มีตัวแทนนักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมเสนอความเห็นที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง เราต้องรับฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์และเกิดผลดีกับเขา ได้บอกกับเด็กๆลูกหลานว่าไม่ได้มองแค่เขา แต่รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ชาติไว้ 20 ปี การเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาที่ยังเกิดขึ้น ถือเป็นวิถีปกติตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ห้ามว่าอย่าไปฟังเขา แต่กลับถูกเขาห้ามอย่ามาฟังตนอันนี้ไม่ใช่วิถีทาง ต้องฟังทั้งสองฝ่ายด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่คำบิดเบือน อย่าให้แตกความสามัคคีในประชาชนเด็ดขาด เพราะถูกจับตามองทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตนรับฟังทุกวันแม้จะไม่ได้รับฟังโดยตรงแบบวันนี้ แต่ก็ฟังในสื่อโซเชียลมีเดีย ฟังทุกข้อเรียกร้อง
ปัดไม่เคยถ่ายโอนเงินให้ลูกสาว
เมื่อถามว่า ส.ส.พรรคก้าวไกลปลุกกระแสในสื่อออนไลน์ตามหาบุตรสาวของนายกฯ ที่มีการเชื่อมโยงอ้างนายกฯกำลังถ่ายโอนเงินไปให้บุตรสาว มองว่าเป็นการคุกคามหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า สังคมคิดเอาเอง ไม่ขอตอบ เชื่อมั่นในตัวเองว่าไม่ได้ทำอะไรตามที่กล่าวอ้าง จะไม่ไปโต้ตอบอะไรทั้งสิ้น ประชาชนตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไร เกิดจากใคร แล้วจะทำอย่างไร เพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นข้อเท็จ จริง รู้ว่าทำอะไรถูกทำอะไรผิด กฎหมายก็คือกฎหมาย เราบังคับใช้กฎหมายระมัดระวังที่สุด ไม่ได้ใช้อำนาจแบบไม่ถูกต้อง
รมว.ศธ.โต้ลั่นงัดวิชามารบีบนักเรียน
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาฯกล่าวว่า การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ยังมีอยู่ทั่วประเทศ หากเป็นการก้าวร้าวหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมก่อให้เกิดความแตกแยก ผู้อำนวยการโรงเรียนสามารถเข้าไปพูดคุยและตักเตือนได้ ไม่ใช่ว่ามีสิทธิเสรีภาพแล้วจะทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ เมื่อถามว่ามีข้อร้องเรียนมีการใช้การตัดคะแนนและตัดทุนการศึกษามาขู่นักเรียน นายณัฏฐพลตอบว่า ไม่มี เท่าที่ได้รับฟังทุกโรงเรียนเปิดรับฟังความคิดเห็นโดยไม่เกี่ยวกับการตักเตือนหรือตัดคะแนน ยืนยันว่าไม่มีการคุกคามเรื่องคะแนน หรือความรู้สึกที่ทำให้นักเรียนอึดอัด หากใครมีข้อมูลว่าสถานศึกษาใดดำเนินการในลักษณะไม่เหมาะสมให้แจ้งมาที่กระทรวงได้
เปิดนำร่องยางพาราผสมทำถนน
ต่อมาเวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการนำร่องการนำยาง พารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick Off) ณ ทางหลวงเขาไร่ยา-แพร่งขาหยั่ง ต.แสลง อ.เมืองจันทบุรี มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า แนวทางการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนให้แก่ประชาชน มุ่งเน้นให้ใช้ยางพาราเป็นวัสดุปรับปรุงการก่อสร้าง ส่งเสริมการใช้น้ำยาง พาราในประเทศ และสร้างสมดุลราคายางพาราให้เหมาะสม ช่วยลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุทางถนน ขณะเดียวกันยังช่วยสร้างความมั่งคั่ง สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง
เฟซบุ๊กปิดประตูใส่รัฐบาลไทย
วันเดียวกัน เฟซบุ๊ก (Facebook) ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า หลังจากได้พิจารณาอย่างระมัดระวังและถี่ถ้วนแล้ว ตัดสินใจจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาที่ทางรัฐบาลไทยระบุว่า เป็นเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องจากรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่รุนแรง ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออก เฟซบุ๊กกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อโต้แย้งในข้อกฎหมาย การแทรกแซงที่เกินขอบเขตเช่นในกรณีนี้ ยังถือเป็นการบั่นทอนความสามารถของเฟซบุ๊กในการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ตลอดถึงการดำเนินงานของสำนักงานในประเทศไทย การคุ้มครองดูแลพนักงานของบริษัทฯ และการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนโดยตรงต่อธุรกิจต่างๆที่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก
แจงยึดมาตรฐานชุมชนเป็นหลัก
แถลงการณ์ระบุอีกว่า ประเด็นด้านเสรีภาพและกฎระเบียบที่ว่าด้วยการแสดงออก เฟซบุ๊กต้องหาสมดุลระหว่างการช่วยให้ผู้คนแสดงออกอย่างเสรีที่สุดโดยไม่ขัดต่อกฎหมายท้องถิ่น และบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม เมื่อได้รับคำขอจากรัฐบาลหรือหน่วยงานทางกฎหมายให้จำกัดการเข้าถึงของเนื้อหา เฟซบุ๊กได้ทบทวนว่าเนื้อหานั้นขัดต่อมาตรฐานชุมชนของเฟซบุ๊กหรือไม่ หากพบว่าละเมิดจะลบเนื้อหาทั้งหมดออกจากแพลตฟอร์ม แต่กรณีที่ไม่ได้ละเมิดมาตรฐานชุมชนเฟซบุ๊กจะนำเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบทางกฎหมาย หากเนื้อหาละเมิดกฎหมายอาจจำกัดการเข้าถึงเนื้อหานั้นๆ โดยในไทยคำขอเหล่านั้นได้ถูกดำเนินการในรูปแบบคำสั่งศาลที่ยื่นคำร้องจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)
สื่อนอกแห่ตีข่าวจ่อฟ้องรัฐบาลไทย
ด้านสำนักข่าวต่างประเทศ ทั้งเอเอฟพี รอยเตอร์ และบีบีซี รายงานตรงกันว่า เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์เตรียมยื่นฟ้องรัฐบาลไทย ข้อหาละเมิดสิทธิ หลังจากมีการปิดเฟซบุ๊กเพจ “รอยัลลิสต์ มาร์เก็ตเพลส” โดยโฆษกของเฟซบุ๊กเผยว่า หลังจากรัฐบาลไทยได้ส่งสารกดดันให้ทางเฟซบุ๊กปลดเพจดังกล่าว ซึ่งถือว่า “ขัดต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล” และสั่นคลอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เฟซบุ๊กยังอ้างว่าการดำเนินการครั้งนี้ต้องการปกป้องและพิทักษ์สิทธิของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต แต่ยังไม่เผยรายละเอียดด้านกฎหมายสำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานเพิ่มเติมว่า เพจ “รอยัลลิสต์ มาร์เก็ตเพลส” เปิดตัวเมื่อเดือน เม.ย. ก่อนเพจจะถูกปิดเมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา มียอดผู้ติดตามสูงกว่า 1 ล้านคน
อัด “สมศักดิ์-ปวิน” ทำชาติเสียหาย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทั้งหมดมาจากเพจ “royalist marketplace” รู้กันว่าใครเป็นผู้ขับเคลื่อนเพจดังกล่าว ก็คือนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ คนเหล่านี้ทุกคนรู้อยู่ว่าเป็นอย่างไร วันนี้อยู่ที่ไหน แล้วเขารับผิดชอบความเสียหายกับประเทศชาติของเราหรือเปล่า คนไทยที่เหลือต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย เขาทั้งสองคนไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น แต่คนที่เดือดร้อนที่สุดคือประเทศไทย เรื่องนี้ขอให้มอง 2 ด้าน กฎหมายไทยว่าอย่างไร ทุกคนก็ต้องเคารพกฎหมายของแต่ละประเทศ ตนไม่เคยไปก้าวล่วง กฎหมายของต่างประเทศ กฎหมายของใครก็คือของใคร การที่เราดำเนินการกับเพจต่างๆ ทำตามกฎหมายไทยทั้งสิ้น ไม่เคยไปใช้อำนาจเผด็จการ เพราะไม่มีแล้ว การปิดเพจเป็นการขอคำสั่งศาลทุกตัว ยืนยันได้ตรงนี้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายไทย หากมีการฟ้องร้องก็ต้องใช้กฎหมายไทยไปสู้
“ดอน” ย้ำยึดตามกฎหมายไทย
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงการต่างประเทศกำลังพิจารณาอยู่ เรื่องสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายระหว่างประเทศถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะมาใช้ในกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศไทยได้หรือไม่นั้นต้องพิจารณาดูว่าเว็บนั้นมีคุณสมบัติอย่างไร เมื่อถามว่าทางเฟซบุ๊กอ้างว่าถือกฎหมายระหว่างประเทศเป็นหลัก นายดอนตอบว่า ตรงนี้ไม่เกี่ยว กรณีที่เกิดขึ้นเฟซบุ๊กดำเนินการในประเทศไทย เราจึงมีสิทธิอำนาจเข้าไปพิจารณาเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทย อะไรที่ละเมิดกฎหมายไทยถือว่าไม่ถูกต้อง ที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือเฟซบุ๊กประจำประเทศไทยจะได้รับความร่วมมือมาตลอด เมื่อถามว่าอาจบานปลายจนนำไปสู่การพิจารณาถอนการลงทุนในไทย นายดอนตอบว่า ยังไม่ทราบ เรื่องนี้ต้องรอดูรายละเอียดก่อน เมื่อถามย้ำว่าเฟซบุ๊กมองว่ารัฐบาลไทยทำผิดหลักสากล นายดอนตอบว่า “ไม่ฟัง เขาพูดอย่างนั้นได้อย่างไร”
ดีอีเอสลั่นปกป้องอธิปไตยไทย
ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ยืนยันทำตามกฎหมายไทย หากมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีกเราก็จะดำเนินการ ยังไม่เห็นว่าเฟซบุ๊กจะฟ้องที่ไหนอย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่เราดำเนินการไปถึงเจ้าของแพลตฟอร์มที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลไทย ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือคนต่างประเทศเมื่อมาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ต้องเคารพกฎหมายไทย เราทำภายใต้กฎหมายไม่ได้รังแกใคร เพราะเป็นคำสั่งศาล และดำเนินการตามคำสั่งศาลกับทุกแพลตฟอร์มไม่ใช่แต่เฉพาะเฟซบุ๊ก ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เขาก็ลบให้ ช่วง 10 วันที่ผ่านมา เฟซบุ๊กลบข้อความที่เราแจ้งไปตามคำสั่งศาลประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยูทูบ และติ๊กต่อก ลบให้หมดแล้ว นี่เป็นอธิปไตยของไทย เป็นมิติใหม่ในระบบไซเบอร์ ที่จะปกป้องคุ้มครองคนไทยภายใต้กฎหมายไทยอธิปไตยไทย เชื่อว่าหากเราไม่ทำ ไม่บังคับใช้กฎหมาย ในอนาคตจะยิ่งหนักกว่านี้
ไม่สนกระทบเชื่อมั่นการลงทุน
นายพุทธิพงษ์กล่าวอีกว่า นายกฯสั่งการให้ทำตามกฎหมายอย่างเข้มแข็ง นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งหมด และไม่กังวลว่าเรื่องนี้จะทำให้กระทบความเชื่อมั่นการลงทุนของต่างชาติ เพราะไม่ได้เกิดกับไทยประเทศเดียว ในสหรัฐอเมริกาก็มีการฟ้องกันเอง ที่ผ่านมาเราทำหนังสือชี้แจงกับเฟซบุ๊กมาตลอด โดยยึดข้อกฎหมายและส่งข้อกฎหมายไปให้เขารับทราบ ในหลายๆเรื่องที่เขาปฏิบัติตามก็ต้อง ขอบคุณ ยอมรับว่าเขาให้ความร่วมมือกับเรา เมื่อ ถามว่า ถึงกรณียูทูบของกรมประชาสัมพันธ์ ปล่อยให้มีการโพสต์คลิปที่ถูกวิจารณ์ว่าสร้างความขัดแย้งป้ายสีเด็ก นายพุทธิพงษ์ตอบว่า ยังไม่เห็น ถ้ามีการส่งร้องเรียนเข้ามาจะเข้าไปตรวจสอบ แต่อยู่ดีๆไม่มีคนร้องเข้ามา เราจะไม่ไปหยิบขึ้นมา เพราะเราเคารพสิทธิของแต่ละคน เมื่อถามว่าการป้ายสีเด็กถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนหรือไม่ นายพุทธิพงษ์ตอบว่า ขอกลับไปดูอีกที
จี้รัฐบาลญี่ปุ่นไล่บี้ส่งตัว “ปวิน”
ที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น นายพานสุวรรณ ณ แก้ว และนายประกอบกิจ อินทร์ทอง ตัวแทนคณะบุคคลเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องต่อสถานทูตญี่ปุ่น ขอให้มีมาตรการจัดการกับนายปวิน ชัชวาลพงษ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น กรณีจาบจ้วง ยุยงปลุกปั่นด้วยคำที่หยาบคายอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม 4 ข้อ 1.ให้รัฐบาลญี่ปุ่นใช้อำนาจหยุดพฤติกรรมล่วงละเมิดสถาบันฯของนายปวินเด็ดขาดทุกช่องทาง และส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย เพื่อรักษามิตรภาพที่ดีระหว่างประชาชนไทยและญี่ปุ่นให้ยาวนานต่อไป 2.ให้ปลดนายปวินจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเกียวโต และมิให้เป็นวิทยากรบรรยายในสถาบันการศึกษาอีกต่อไป 3.รัฐบาลญี่ปุ่นต้องแสดงความจริงใจแก้ไขปัญหาให้เห็นเป็นรูปธรรม ว่าไม่ได้ให้การสนับสนุนการกระทำของนายปวิน และแถลงผลความคืบหน้าการดำเนินการทุกระยะ 4.จะยกระดับการเรียกร้องหากไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลญี่ปุ่น
ราชบุรีจี้ผู้ว่าฯออกโรงป้องสถาบัน
ที่ศาลากลางจังหวัดราชบุรี กลุ่มราชบุรีร่วมใจปกป้องสถาบันกว่า 50 คน มีนายประเสริฐ มงคลพร เป็นตัวแทนยื่นหนังสือถึง ผวจ.ราชบุรี ผ่าน น.ส.ประภารัตน์ นาคผจญ ผอ.กลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรม จังหวัดราชบุรี เรียกร้องให้เร่งปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และภัยคุกคามในสถานศึกษา ขอให้ผู้อำนวยการโรงเรียนหามาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ขอให้กระทรวงศึกษาธิการเปิดช่องทางการสื่อสารออนไลน์โดยตรงกับผู้ปกครองเพื่อรับทราบความคิดเห็นของผู้ปกครอง และประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่แสดงเจตนารมณ์ปกป้องสถาบัน หากสื่อสารผ่านสื่อมวลชนอาจทำให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน
ศาลยกฟ้อง “จือเซง” พ้นผิด ม.112
ที่ศาลอาญา ศาลมีคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูงหมายเลขดำ อ.3037/2562 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจือเซง แซ่โค้ว หรือสมอล์ล บัณฑิต อานียา นักเขียนนิยายชื่อดังในกลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อัยการฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ย.2557 จำเลยเข้าร่วมงานเสวนากลุ่มนวัตกรรมไทย โดยกล่าวต่อผู้เข้าร่วมเสวนาเข้าข่ายความผิดดังกล่าว จำเลยให้การปฏิเสธ นำสืบว่าจำเลยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องระบอบการปกครอง แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และมีอาการป่วยเป็นโรคจิตเภท วันนี้จำเลยเดินทางมาศาล ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
การันตี เพื่อไทย-ก้าวไกลไม่แตกคอ
ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลแสดงความไม่พอใจที่พรรคเพื่อไทยยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 โดยไม่แจ้งให้ พรรคร่วมฝ่ายค้านทราบว่า การยื่นญัตติครั้งนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ หากไม่เปิดอภิปรายสมัยประชุมนี้ อาจไม่ทันกับสถานการณ์บ้านเมือง ยืนยันว่าทั้งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยไม่ได้แตกกัน ทำงานด้วยกันได้ดี แต่บางครั้งพูดคุยกันน้อย ในการประชุมวิปฝ่ายค้านจะอธิบายให้เข้าใจ คิดว่าสมัยประชุมหน้ารัฐบาลไปไม่รอดแน่ๆ จึงต้องยื่นอภิปรายในสมัยประชุมนี้ก่อน ช่วงเวลาที่เหลือในสมัยประชุมนี้จะมีวาระสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การประชุมรัฐสภาเพื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2.การอภิปรายทั่วไป และ 3.ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 วาระที่ 2-3 ส่วนจะพิจารณาเรื่องใดก่อน คงต้องหารืออีกครั้ง ส่วนตัวคิดว่าควรพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน
แผนสำรองชงแก้รายมาตรา
เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ต่างเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของตนเอง นายสุทินตอบว่า ไม่ว่าจะเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายใด ต่างมีหลักการตรงกัน คือ การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพียงแต่ แตกต่างกันในรายละเอียดที่สามารถพูดคุยกันได้ในสภา ส่วนกรณีพรรคก้าวไกลยังมี ส.ส.มาลงชื่อไม่พอที่จะเสนอร่างแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญนั้น พรรคเพื่อไทยจะประชุมพรรคอธิบายให้ ส.ส.เข้าใจในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกล แต่จะมีมติอย่างไรขึ้นอยู่กับที่ประชุม ส.ส. โดยหลักการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อตั้ง ส.ส.ร.ให้สำเร็จ จะไม่ไปแตะเนื้อหารายมาตราอื่น เพราะควรให้ ส.ส.ร.มาดำเนินการ เว้นแต่หากเกิดกระบวนการเตะถ่วง ไม่ให้แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ หรือเป็นไปอย่างล่าช้า ฝ่ายค้านจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราอื่นเข้าไปด้วย
ชำแหละ รัฐธรรมนูญฉบับทุนเป็นใหญ่
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าคณะทำงานกำหนดประเด็น ข้อเสนอและรายละเอียดการแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาจากรัฐธรรมนูญปี 60 เป็นการทำลายความรู้สึกของนักประชาธิปไตย ที่เชื่อว่าประชาธิปไตยจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อมีพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับทำลายจุดแข็งนั้น โดยเฉพาะระบบจัดสรรปันส่วนผสม หากใช้ไปนานวัน พรรค การเมืองจะถูกลดความสำคัญลง ทำให้ ส.ส.หลงตัวเองมากขึ้น เกิดการประมูลตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง และพรรคต้องไปอาศัยนายทุน กลายเป็นเครื่องมือของทุนนั้น นำไปสู่ “การใช้ทุนสร้างพรรค ใช้พรรคยึดกุมอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐเพิ่มทุน” หากระบบนี้ยังใช้ต่อไป การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีการซื้อเสียงมากขึ้นไปอีก และบทเฉพาะกาลที่เกี่ยวกับอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกฯและอื่นๆ นึกอยู่ตลอดเวลาว่าโอกาสเปิดช่องเมื่อไหร่ต้องแก้ไข แต่ต้องรอดูท่าทีของ ส.ว.ด้วยว่าจะเอาอย่างไร เพราะมีหลายคนออกมาขานรับพอสมควร จึงทำให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปได้มากขึ้น
“เนาวรัตน์” พร้อมถอดชนวน ส.ว.
ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. มีการประชุมวุฒิสภา โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุมมี ส.ว.หลายคนหยิบยกประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นหารือ นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ส.ว. กล่าวว่า สนับสนุนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 269 ว่าด้วยเรื่องที่มา ส.ว.ให้ยึดโยงกับประชาชน และมาตรา 272 ให้ตัดสิทธิอำนาจ ส.ว. ลงมติเลือกนายกฯ จากสถานการณ์การเมืองปัจจุบันมองว่าเป็นวิกฤติศรัทธาทางการเมือง มีการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนวัยหนุ่มสาว ขอให้รัฐบาลรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ปกป้องไม่ให้เกิดความรุนแรงในการชุมนุม ไม่ควรนำเรื่องสถาบันมาเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมือง
“สมชาย” ติงเอาใจชุมนุมระวังรถถัง
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. กล่าวว่า หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรเสนอแก้ไขแบบตรงประเด็น แทนการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมารื้อเนื้อหาทั้งฉบับ กังวลจะนำไปสู่ความขัดแย้งและสงครามกลางเมือง เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งฉบับเป็นอันตรายต่อการปกครอง ข้อเสนอที่ภาคประชาชนต้องการมี 2-3 ประเด็น แต่การรื้อทั้งหมด เพื่อให้ชุมนุมสงบนั้นจะทำให้การแก้รัฐธรรมนูญควบคุมไม่ได้ หากการแก้ไขกระทบต่อสถาบัน องคมนตรี อำนาจ ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้รัฐบาลพิจารณาให้ดี ไม่ให้การแก้รัฐธรรมนูญนำไปสู่วิกฤติขัดแย้งที่เป็นต้นตอการรัฐประหารที่มักเกิดจากวิกฤติรัฐธรรมนูญ
นายกฯย้ำไม่ขัดข้องแก้ รธน.
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงท่าทีรัฐบาลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในข้อ 12 อยู่แล้ว สนับสนุนให้มีการศึกษา รับฟังความคิดเห็นของประชาชน และดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วนของหลักเกณฑ์แก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เป็นเรื่องของวิปรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล ที่จะเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญของแต่ละพรรคไป จึงขอให้รับฟังในขั้นตอนในการพิจารณาต่อไป สำหรับตนไม่ได้ขัดข้องอะไรตรงนี้
4 แกนนำชุมนุมเข้ามอบตัว
ช่วงสายวันเดียวกันที่ สน.นางเลิ้ง นายอานนท์ นำภา พร้อมด้วย น.ส.สุวรรณา ตาลเหล็ก นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มประชาชนปลดแอก เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง รับทราบข้อกล่าวหากรณีจัดการชุมนุมปราศรัยหน้ากองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เมื่อวันที่ 20 ก.ค. อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.จราจร และ พ.ร.บ.ควบคุม การโฆษณาด้วยเครื่องขยายเสียง โดยนายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคอนาคตใหม่ ได้เดินทางตามมารับทราบข้อกล่าวหาอีกคน
คุม “อานนท์” แยกไป สภ.คลองหลวง
ต่อมาเวลา 12.00 น. พนักงานสอบสวน พร้อมชุดสืบสวนภูธรจังหวัดปทุมธานี จับกุมนายอานนท์ หนึ่งใน 6 แกนนำผู้ต้องหา ที่ชุมนุมปราศรัยบนเวทีม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ขึ้นรถตู้ ตำรวจไปดำเนินคดีที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตามหมายจับข้อหายุยงปลุกปั่น และข้อหาอื่นๆ รวม 5 ข้อหา จากนั้นเวลา 12.20 น. น.ส.สุวรรณา ตาลเหล็ก นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นายปิยรัฐ จงเทพ ได้รับการปล่อยตัวในชั้นพนักงานสอบสวน นายพริษฐ์กล่าวว่า พวกเราทั้ง 3 คนให้การภาคเสธทุกข้อกล่าวหา และจะให้การในชั้นศาลเท่านั้น อัยการ จะนัดส่งฟ้องศาลในวันที่ 21 ก.ย.นี้
จุดปมเรือดำน้ำปลุกชุมนุมใหญ่
นายอานนท์ให้สัมภาษณ์ว่า การถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับกุมที่ผ่านมา มองว่าเป็นยุทธวิธีการคุกคามของประเทศที่เป็นเผด็จการ ยืนยันว่ายังพร้อมต่อสู้ต่อไป และมองว่าการที่กองทัพเรือเดินหน้าจัดซื้อเรือดำน้ำในเวลานี้ เหมือนตบหน้าและถ่มน้ำลายใส่หน้าคนไทย สถานการณ์เวลานี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้ยุทโธปกรณ์สู้รบ เป็นการกระทำที่ไม่ฟังเสียงคัดค้านของประชาชน เรื่องนี้จะถูกนำไปเป็นประเด็นเรียกร้องในเวทีชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไป
“กวิ้น” เย้ยจับๆปล่อยๆไม่มีท้อ
นายพริษฐ์กล่าวว่า การแจ้งข้อหาว่าฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อกีดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชน โดยนำเรื่องโควิด-19 มาเป็นข้ออ้าง เพราะทุกคนต่างทราบกันดีผ่านข่าวสารมาตลอดว่าไม่มีคนติดเชื้อในไทยมานานแล้ว รัฐบาลพยายามปาระเบิดใส่พวกเราด้วยการจับกุมดำเนินคดีแล้วปล่อยตัว หลายครั้งเพื่อให้เหนื่อยล้า แต่ยืนยันว่า เราไม่ย่อท้อ จนกว่าจะถึงการชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย. เชื่อว่าจะยังมีแนวร่วมของผู้ที่รักในประชาธิปไตยออกมาเข้าร่วมกันอีกจำนวนมาก
แนวร่วมปลดแอกแห่ให้กำลังใจ
จากนั้นเวลา 13.30 น. ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีกลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มประชาชนปลดแอก กว่า 50 คน มารวมตัวให้กำลังใจนายอานนท์ อยู่นอกแถวตำรวจควบคุมฝูงชนที่ยืนกั้นเป็นกำแพง เพื่อกันผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ โดยกลุ่มสนับสนุนตะโกนให้กำลังใจดังลั่น ขณะที่นายอานนท์ชู 3 นิ้ว ระหว่างเดินขึ้นไปชั้น 3 ของ โรงพักเพื่อสอบปากคำนานเกือบชั่วโมง จากนั้นตำรวจได้คุมตัวนายอานนท์และนายภานุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดธัญบุรี
ขอบคุณศาลปล่อยตัวชั่วคราว
กระทั่งเวลา 17.40 น. ที่ศาลจังหวัดธัญบุรี นายอานนท์และนายภานุพงศ์ได้รับการปล่อยตัวออกมา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของกลุ่มผู้สนับสนุน โดยนายอานนท์เผยว่า ศาลให้ฝากขังตามคำร้องพนักงานสอบสวน ก่อนจะให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์ประกันตัว ขอบคุณศาลที่เป็นที่พึ่ง ขอบคุณอาจารย์จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่มายื่นประกันตัว รวมทั้งขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้กำลังใจ
“ศาลาวีรชน” ไม่ใช่ที่หลบฝน
วันเดียวกันเวลา 17.00 น. ที่ศาลาวีรชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) กลุ่มนักศึกษา มจธ. ในนามกลุ่ม KMUTT นำโดย นายสราวุฒิ หนูเกลี้ยง คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต มจธ. จัดกิจกรรมชุมนุมปราศรัย KMUTT Flash Mob สามพระจอมจะยอมได้ไง ศาลาวีรชนจะไม่ใช่ที่หลบฝนอีกต่อไป โดยมีแกนนำนักศึกษาจากสถาบันต่างๆเข้าร่วม อาทิ นายสิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ แกนนำ มศว ประสานมิตร นายกฤษณะ ไก่แก้ว และนันทพงศ์ ปานมาศ แกนนำ นศ.รามคำแหง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม iLaw หรือโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายของประชาชน นำโดยนายยิ่งชีพ อัช- ฌานนท์ นายอานนท์ ชวาลาวัณย์ มาตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อ 5 หมื่นชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้รับความสนใจจากนักศึกษาหนุ่มสาว มจธ.เข้าร่วมจำนวนมาก มีการแสดงดนตรีของวงแร็ป RAD โดยนายปรัชญา สุรกำจรโรจน์ เจ้าของเพลงดังประเทศกูมี พร้อมชวน นักศึกษา มจธ. ชูสามนิ้วขับไล่รัฐบาลพร้อมกัน