นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ชี้ จีดีพี ทรุดหนัก ซัด "บิ๊กตู่" ตั้งคณะทำงานซ้ำซ้อนกลบปมด้อย แนะต้องตัดงบฯทหารก่อนตัดงบฯคมนาคม ได้ที "เตะตามน้ำ" แนะ นายกฯลาออก ก่อนม็อบลุกลาม

วันที่ 17 ส.ค.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองทรุดหนัก การขยายตัวติดลบถึง -12.2 % ซ้ำเติมเศรษฐกิจเดิมที่ย่ำแย่อยู่แล้ว โดยแนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาส 3 และ 4 ยังมีทิศทางย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ บริษัท ห้างร้าน ต้องปิดตัวกันอีกมาก คนจะตกงานเพิ่มขึ้น หนี้เสียในระบบธนาคารจะพุ่งขึ้นอีก แต่รัฐบาลยังไม่มีทิศทางชัดเจน จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้เลย หลังจากที่บริหารเศรษฐกิจล้มเหลวมาตลอด 6 ปี จึงเป็นสาเหตุให้นักศึกษา นักเรียน และประชาชน ต้องออกมาขับไล่เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน แม้จะถูกรัฐบาลข่มขู่ เพราะมองไม่เห็นอนาคตของตัวเองและของประเทศ

การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ปรับคณะรัฐมนตรีล่าสุด โดยปรับรื้อทีมเศรษฐกิจ ที่บริหารกันมา 6 ปี ออกทั้งหมดเท่ากับยอมรับถึงความล้มเหลวที่ผ่านมา แต่การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่นี้ ไม่เพียงไม่สร้างความมั่นใจ แต่กลับยิ่งสร้างความสับสนมากขึ้น ตั้งแต่การเลื่อนขั้น นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ให้เป็นรองนายกฯ ด้วย ทั้งที่ไม่มีผลงานเลย การตั้ง รมว.พลังงาน ควบรองนายกฯ แต่ รมว.คลัง กลับไม่ได้ควบ ทั้งที่ กระทรวงการคลังสำคัญกว่ากระทรวงพลังงานมาก แถมยังให้ รองนายกฯ ควบ รมว.พลังงาน มากำกับกระทรวงการคลังอีก ยิ่งสร้างความสับสน เหมือนกับจะขาดความรู้ และขาดความเข้าใจ ในระบบการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ อีกทั้งการแต่งตั้ง รมต.ในส่วนของพรรค พปชร.ที่ทำให้ พรรค พปชร. ดูด้อยค่าอย่างมาก โดยเฉพาะการตั้ง รมช.แรงงาน ที่ไม่ทันไรทำท่าจะขัดแย้งแย่งซีนกับ รมว.แรงงานแล้ว

...

เท่านั้นยังไม่พอ พลเอกประยุทธ์ ยังตั้ง ศบค.เศรษฐกิจ และตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจ ขึ้นมาโดยให้ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ที่เพิ่งปฏิเสธการเป็นรัฐมนตรี ในการปรับคณะรัฐมนตรีมาเป็นประธาน โดยมีข้าราชการระดับสูงและปลัดกระทรวงอยู่ในคณะนี้ ยิ่งสร้างความสับสนและซ้ำซ้อนการทำงานให้มากขึ้นไปอีก ซึ่งจะยิ่งเพิ่มขั้นตอนการทำงานและการสั่งการ อีกทั้งทำให้ประชาชนและข้าราชการสับสนว่า หน่วยงานไหนจะมีอำนาจสูงสุดในการสั่งการ และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในกรณีที่เศรษฐกิจล่มสลาย ซึ่งในปัจจุบันทิศทางน่าจะไปในแนวทางนั้น ทั้งนี้ เพราะพลเอกประยุทธ์ ที่รับเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเอง อาจจะขาดความรู้ ความสามารถทางเศรษฐกิจ จึงพยายามจะกลบจุดอ่อนปมด้อยของตนเอง โดยการตั้งคณะกรรมการหลายชุดขึ้นมา เพราะคิดว่าจะเป็นการทำให้ดูเหมือนฉลาด แต่แท้จริงแล้วยิ่งเป็นการแสดงความไม่รู้ และจะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้ หากพลเอกประยุทธ์ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่เก่งและฉลาดพอ ก็ไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการอะไรมากมาย และสามารถสั่งการได้เองเลย แต่ในอดีตแค่พูดเรื่องเศรษฐกิจต่อสาธารณะ พลเอกประยุทธ์ยังพูดผิดพลาดมาโดยตลอด โดยเฉพาะล่าสุดที่พลเอกประยุทธ์ พูดว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาตลอดตั้งแต่เข้ามา ได้สร้างความขบขันให้กับประชาชนทั้งประเทศ

ดังนั้นในปัจจุบันการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากจะมีพลเอกประยุทธ์ ที่ไม่รู้เรื้องเศรษฐกิจและยอมรับเอง เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว ยังมีคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจโดยนายไพรินทร์ มีรองนายกฯ ควบ รมว.พลังงาน กำกับกระทรวงคลัง มี รองนายกฯ ควบ รมว.สาธารณสุข กำกับกระทรวงคมนาคม และ กระทรวงท่องเที่ยวฯ มี รองนายกฯ ควบ รมว.พาณิชย์ กำกับ กระทรวงเกษตร มี รองนายกฯ ดูแลกฎหมาย กำกับกระทรวงอุตสาหกรรม รองนายกฯ ควบ รมว. ต่างประเทศ ติดต่อการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งถ้าเห็นภาพที่สับสนนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ทำไมเศรษฐกิจไทยจะไม่ฟื้น และประชาชนจะยิ่งลำบากเพิ่มขึ้นกันขนาดไหน

นอกจากนี้ หลังจากรับตำแหน่งแล้ว ยังไม่เห็นทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลได้แสดงวิสัยทัศน์ว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร ทั้งที่ควรจะต้องพร้อมและบอกประชาชนได้แล้ว ตั้งแต่วันแรกในการทำงานเพื่อแสดงการเตรียมพร้อม และสร้างความมั่นใจที่มีอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว เท่าที่ได้ยินมีแต่คำพูดเพื่อเอาใจ พลเอกประยุทธ์เท่านั้น โดยมีการโยนหินถามทางมาจากกระทรวงการคลัง ที่จะรื้อกฎเกณฑ์การปล่อยกู้ซอฟต์โลนให้กับธุรกิจ SMEs ในวงเงิน 5 แสนล้านบาทใหม่ทั้งหมด ทำให้สงสัยว่า แม้เป็นจะเป็นเรื่องที่ควรจะทำ แต่ รมว.คลัง ที่เป็นนักกฏหมายมาจากธนาคารพาณิชย์น่าจะสับสน เพราะซอฟต์โลนดังกล่าวเป็นส่วนของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่เป็นของกระทรวงการคลัง ซึ่งรัฐบาลได้ชี้แจงไว้เองในสภาฯ ตอนอภิปรายงบเงินกู้เพื่อเยียวยาและฟื้นเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด ดังนั้นจึงอยากให้ รมว. คลังคนใหม่ ที่เป็นนักกฎหายได้ตรวจสอบข้อกฎหมายก่อน ก่อนที่จะเสียฟอร์มตั้งแต่เริ่มทำงาน เพราะในกรณีที่มีการรื้อเกณฑ์ในการปล่อยกู้แล้วเกิดหนี้เสียมาก ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ใช่กระทรวงการคลัง ดังนั้นกระทรวงการคลัง ควรจะต้องหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน

นายพิชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่จะตัดงบกระทรวงคมนาคมลงถึง 30-40% ซึ่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ก็ควรตัด แต่ต้องคำนึงการการพัฒนาประเทศทางด้านคมนาคม ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต ซึ่งกระทรวงที่ต้องถูกหั่นงบก่อนกระทรวงอื่นเลยน่าจะเป็นงบกระทรวงกลาโหม และงบประมาณการซื้ออาวุธซึ่งมีความจำเป็นน้อยสุด เพราะไทยคงยังไม่ได้รบกับใคร อีกทั้งระยะหลังกองทัพ ยังซื้อเครื่องบินรับวีไอพี เป็นเงิน 1,348.5 ล้านบาท เพื่อความสะดวกสบายของวีไอพีกองทัพ ไม่ได้มีเกี่ยวกับการป้องกันประเทศด้วยซ้ำ และยังจะซื้อเครื่องบินลักษณะนี้อีก 3 ลำ มูลค่า 531 ล้านบาทด้วย ดังนั้นหากพิจารณาด้วยใจเป็นธรรม และเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศอย่างแท้จริง จะต้องลดงบกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะการลดงบการจัดซื้ออาวุธลงให้มากที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลต้องตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งล่าสุดคือปัญหา สส. เรียกเงินจากอธิบดีกรมน้ำบาดาล เพื่อให้ผ่านงบประมาณ โดยต้องทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนโดยเร็ว

"ในภาวะที่ประเทศกำลังผันผวนทั้งเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่หนัก และยังจะตกต่ำลงไปอีก ปัญหาการเมืองที่หนักหนาสาหัส สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญที่บิดเบี้ยว การชุมนุมของนักศึกษาและนักเรียนทั่วประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากและจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ สังคมที่เสื่อมทรามมีการ ปล้น จี้ ขโมย โกง กันแทบทุกวันจากพิษเศรษฐกิจ ระบบยุติธรรมที่เสื่อมทราม ตำรวจที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองแต่เที่ยวไล่จับนักศึกษาและยังบุกค้นบ้าน ซึ่งหากมาตั้งสติและพิจารณาให้ดีจะพบว่าสาเหตุหลักของปัญหาทั้งหมดนี้ น่าจะเกิดมาจากพลเอกประยุทธ์แทบทั้งสิ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดตอนปัญหาไม่ให้ลุกลามต่อไป พลเอกประยุทธ์ ควรจะต้องรีบลาออก หรือ ต้องหาทางให้พลเอกประยุทธ์ออกไป เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ซึ่งเชื่อว่าหากพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็นผู้นำประเทศนี้แล้ว ปัญหาต่างๆ จะเบาบางลง และประเทศไทยจะสามารถหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกันได้" นายพิชัย กล่าว ...