เพิ่มรสชาติหัวข้อทอล์กออฟเดอะทาวน์กันเข้มข้น หลัง 1 ใน 2 พยานปากเอกช่วย “บอส อยู่วิทยา” พ้นผิดไม่โดนอัยการสั่งฟ้องข้อหาขับรถชนตำรวจตาย จู่ๆประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนกันเสียชีวิต
รูปการณ์ถึงจะเป็นอุบัติเหตุจริงๆ แต่ก็ห้ามลำบากที่จะไม่ให้ตีความไปต่างๆนานา
ซีรีส์บอส อยู่วิทยาส่อเค้าอีนุงตุงนัง ลากกระบวนการยุติธรรมเปรอะโคลน ยิ่งข้อมูลล่าสุดที่คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ระบุเหตุผลที่พนักงานสอบสวนไม่เอาผิดข้อหามีสารโคเคนในร่างกาย เพราะสารที่พบมาจากยาที่ใช้ในการรักษาฟัน
จนเจอกระแสตอกกลับรุมสกรัมจากทีมทันตแพทย์ ยืนยันยาใช้รักษาฟันไม่มีส่วนผสมโคเคน
ปมค้านสายตาผุดขึ้นถี่ๆมากเท่าไร ก็ยิ่งสั่นคลอนความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมมากขึ้นเท่านั้น
ในจังหวะที่หลายหน่วยงานพากันโดดเกาะกระแส สวมบทผดุงความยุติธรรม ตั้งแต่ต้นเรื่องอย่างสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ตั้งกรรมการขุยคุ้ยข้อเท็จจริง สอบคนในสังกัดมีพฤติการณ์นอกลู่นอกทางหรือไม่ เช่นเดียวกับคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ พากันชิงซีนแย่งกันตรวจสอบความจริงเต็มไปหมด
แม้แต่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยังต้องเซ็นคำสั่งตั้ง นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. มานั่งแท่นสังคายนาความถูกผิดให้สิ้นปมคาใจภายใน 30 วัน
ลดแรงเสียดทานจากพายุอารมณ์ประชาชนที่กำลังเรียกร้องหาความเท่าเทียมกันในสังคม จุดอ่อนรัฐบาลที่มักถูกครหาเรื่องความเหลื่อมล้ำและการเลือกปฏิบัติ
หรือแม้กระทั่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็รีบออกตัวอย่างไว ฉากออกจากปมร้อน ปฏิเสธตระกูล “วงษ์สุวรรณ” ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับตระกูลเจ้าสัวกระทิงแดง
...
เร่งถอดชนวนการถูกโยงไปถึงกรณีผู้ต้องหาใช้ช่องทางร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการกฎหมาย ยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีพล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ช่วยกดดันคืนอิสรภาพให้บอส อยู่วิทยาอีกทาง
พี่ใหญ่-พี่รองยกการ์ดสูงท่วมหัว ป้องกันตัวเต็มที่ถึงรอยด่างในกระบวนการยุติธรรมไม่เกี่ยวกับรัฐบาลโดยตรง แต่เรื่องของเรื่องดันมาเกิดในจังหวะที่ม็อบนักเรียน นักศึกษากำลังจุดติด ขับเคลื่อนอีเวนต์ไล่รัฐบาลลามไปทั่วประเทศ
จากเดิมที่ชาวบ้านสิ้นหวังการแก้วิกฤติเศรษฐกิจโควิด การแย่งเก้าอี้ ครม. และความเหลื่อมล้ำในสังคมอยู่แล้ว เมื่อตอกย้ำด้วยความล้มเหลวในกระบวนการยุติธรรม กฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์
ก็เหมือนเพิ่มฟืนเข้ากองไฟให้ลุกโชนหนักขึ้น
ช่วยเร้ากระแสมวลชนให้ม็อบคนรุ่นใหม่มีข้อเรียกร้องเพิ่มเติมปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม นอกเหนือจากการกดดันให้รัฐบาลยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ
มีหัวเชื้อสารพัดรอให้นักศึกษาหยิบยกนำไปเป็นประเด็นเคลื่อนไหวล้มรัฐบาล
ปาฏิหาริย์ระบบยุติธรรม สะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล เร้าคนเกลียดรัฐบาลให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้น
ส่อเค้าเกิดปรากฏการณ์อันตรายปลุก “ม็อบชนม็อบ”
อย่างที่เริ่มเห็นการชิมลาง “กลุ่มอาชีวะช่วยชาติ” ที่เห็นต่างจากกลุ่มนักศึกษา รวมพลเคลื่อนไหวชู 3 นิ้ว สนับสนุนรัฐบาล ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งท่าจัดเวทีคู่ขนานไปกับม็อบนักศึกษา
ในอารมณ์ซีเรียสที่ “บิ๊กตู่” ต้องรีบดับไฟ ปรามการเผชิญหน้าม็อบ 2 ขั้ว กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดูแลความปลอดภัยผู้ชุมนุม 2 กลุ่ม ไม่ปล่อยมือที่สามแทรกแซง จนเกิดเหตุการณ์บานปลาย
นั่นคือแนวรบนอกสภาฯที่ต้องจับตาสถานการณ์ใกล้ชิด ส่วนในสภาฯก็เร่งลดแรงเสียดทาน นำข้อเรียกร้องกลุ่มนักศึกษามาพิจารณาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ
อย่างที่เห็นคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มีนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธาน สรุปผลการศึกษาของ กมธ. เตรียมเสนอต่อรัฐบาล ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ โดยตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มายกร่างใหม่ทั้งฉบับ
ขณะที่ท่าที ส.ว.ก็เปิดทางให้แก้รัฐธรรมนูญ ยอมลดอำนาจตัวเอง คล้อยตามข้อเรียกร้องกลุ่มนักศึกษา
ใช้ทุกองคาพยพลดอุณหภูมิตึงเครียดม็อบนักศึกษา แลกกับการให้รัฐบาลได้ไปต่อ ในภาวะที่ภูมิคุ้มกัน “บิ๊กตู่” ร่อยหรอ ไม่มีแข็งแกร่งเหมือนเก่า
บนเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” รู้อยู่เต็มอก หากปล่อยให้เกิดเหตุวุ่นวายเหมือนในอดีต มีการจุดไฟขัดแย้ง เผชิญหน้าของประชาชน 2 กลุ่ม มีม็อบชนม็อบ จุดจบอาจซ้ำรอยการยึดอำนาจในปี 2549 และปี 2557
เป็นระเบิดการเมืองลูกใหญ่ที่ “ลุงตู่” ต้องเร่งถอดชนวนความขัดแย้งให้สำเร็จโดยเร็ว.
ทีมข่าวการเมือง