“ธนาธร” พร้อมนั่งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบ 64 ลุยทำหน้าที่อย่างดีที่สุด กังวลกรอบงบประมาณไม่ตอบโจทย์สถานการณ์โควิด-19 ซ้ำอาจเป็นภาระผูกพันถึงลูกหลาน
วันที่ 8 ก.ค. 2563 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางมายังรัฐสภาเพื่อเข้าประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 นัดแรก โดยกล่าวว่า จะทำหน้าที่กรรมาธิการในพิจารณางบประมาณซึ่งคือภาษีของประชาชนให้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยตั้งแต่การออกพระราชกำหนดกู้เงินของรัฐบาล เงินที่รัฐบาลนำมาเยียวยาเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูประเทศ ในการช่วยเหลือ SMEs และพยุงหุ้นกู้ จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท รวมถึงงบประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท ของงบประมาณปี 64 เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะปัจจุบันเรากำลังเผชิญในวิกฤติสถานการณ์โคโรนาไวรัส หรือ โควิด-19 ที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ ดังนั้น การใช้งบประมาณทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นภาษีของประชาชนจำเป็นต้องใช้ให้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากทรัพยากรมีอยู่จำกัด จะใช้งบประมาณแบบเดิมเหมือนแบบไม่มีวิกฤติไม่ได้
นายธนาธร ระบุต่อไปว่า สิ่งหนึ่งที่กังวลคือกรอบการพิจารณาทำงบประมาณปี 64 เหมือนเดิม เหมือนกับปี 63 และเหมือนกับปี 62 ทั้งๆ ที่โจทย์เดิมยังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เศรษฐกิจถดถอย ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ดูแล้วมีแนวโน้มน้อยลง และมีปัญหาใหม่เข้ามาคือโคโรนาไวรัส แต่กลับไม่ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนเเปลงรูปแบบการทำงบประมาณ ที่จะทำให้เรารับมือกับโควิด-19 ได้ ที่จะทำให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้าได้ อีกทั้ง มีงบประมาณหลายส่วนที่เห็นว่าไร้ประสิทธิภาพและไม่ตอบสนองต่อสภาวการณ์ในปัจจุบัน เชื่อว่าการที่ตนและพรรคก้าวไกลได้มาทำหน้าที่ในกรรมาธิการจะเป็นการเปิดโอกาสให้ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หวังว่าข้อเสนอแนะของเราจะได้รับฟังจากผู้มีอำนาจ เพราะการใช้งบประมาณตามแบบที่เสนอมาในวาระที่ 1 ไม่ทำให้ประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้และจะเป็นภาระของลูกหลาน
...
ทั้งนี้ มองว่าเงินกู้ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ถ้ากู้แล้วเอามาใช้ลงทุนที่สร้างสรรค์ ที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าเอามาใช้โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุด เอามาใช้เบี้ยหัวแตก เงินกู้นี้จะเป็นภาระให้กับคนรุ่นต่อไป ส่วนกรณีพรรคก้าวไกล เสนอชื่อตนเป็นกรรมาธิการวิสามัญ แล้วมี ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ เห็นว่าไม่เหมาะสม และจะยื่นให้สภาตรวจสอบคุณธรรมจริยธรรมนั้น นายธนาธร กล่าวว่า คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกลุ่มบุคคลที่ไม่เห็นด้วยและมีความไม่พอใจเรื่องนี้ไปดำเนินการ ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำไม่ได้มีอะไรที่ผิดกฎหมาย และไม่จำเป็นหากใครจะนำไปเทียบเคียงกับกรณีบุคคลที่โดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองในอดีต สิทธิ์ที่ถูกตัดไปคือสิทธิ์ลงรับสมัครเลือกตั้ง สิทธิ์ในการเป็นสมาชิกพรรค แต่สิทธิ์ในฐานะพลเมืองไม่ได้ถูกตัด พวกเรายังมีสิทธิ์เต็มในฐานะพลเมืองที่จะแสดงออกทางความคิดเห็นทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ
สำหรับแนวการขับเคลื่อนในการสรรหาผู้สมัครลงแข่งขันเลือกตั้งท้องถิ่นในนามของคณะก้าวหน้า นายธนาธร เผยว่า การเมืองท้องถิ่นต่างกับการเมืองระดับชาติ ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง พวกเราจึงชักชวนบุคคลที่มีเป้าประสงค์อยากเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาช่วยกันทำงาน ไม่ต้องให้คนอื่นทำงาน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นลูกหลานของนักการเมือง เป็นคนมีนามสกุลใหญ่โต มีชื่อเสียงเงินทอง เอาคนธรรมดามาเป็น มาร่วมเปลี่ยนแปลงทางการเมืองร่วมกันในนามของคณะก้าวหน้าที่ไม่ใช่เป็นพรรคการเมือง
“นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดนะครับ เราไม่ได้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นมาแล้วมากกว่า 7 ปี บางแห่งถึง 10 ปี ถ้าจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ไม่ต้องรอให้เลือกตั้งระดับชาติอีกครั้ง เปลี่ยนแปลงประเทศเริ่มได้ที่บ้านเกิดของตนเอง เริ่มได้ที่การเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมาถึง ผมขอชักชวนทุกคนที่เบื่อและทนไม่ไหวกับการที่บ้านเกิดของตนเองไม่ได้รับการพัฒนา อยากจะลุกขึ้นมาพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง ใช้โอกาสนี้มาทำงานร่วมกับพวกเรา”