"ศิริกัญญา" ส.ส.พรรคก้าวไกล สับแหลก ‘พ.ร.บ.งบประมาณปี 64’ ประกาศกร้าว อ้าง ปชช.รอการเปลี่ยนแปลงมา 6 ปี จะรอไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่ควร ‘ยุบสภา’ เพื่อคืนอำนาจให้ ปชช.
วันที่ 3 ก.ค. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล อภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติที่ดิ่งลึกกว่าทุกครั้ง หรือที่เรียกว่า ‘วิกฤติซ้อนวิกฤติ’ นั่นคือวิกฤตการณ์ด้านสุขภาพที่ส่งผลจนทำให้เกิดเป็นมหาวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบก็คือคนรากหญ้า
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า การส่งออกที่ติดลบ 30% หมายถึงคนงานในโรงงานรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ คนงานในโรงงานผลิตชิปอิเล็กทรอนิกส์ และคนงานในโรงงานผลิตสินค้าส่งออกอื่นๆ กำลังจะตกงาน การลงทุนภาคเอกชนที่ลบ 13% มันหมายถึงคนที่กำลังว่างงาน และเด็กจบใหม่ในวันนี้ จะหางานได้ยากขึ้นในอนาคต นักท่องเที่ยวที่หายไป 30 กว่าล้านคนจาก 40 ล้านคน คือ SMEs อีกเป็นล้านราย ที่ขาดรายได้ และกำลังจะปิดตัวลง
อย่างไรก็ตาม น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ภายใต้วิกฤติขนาดนี้ที่ไม่เคยเจอมาก่อนในช่วงชีวิต ประชาชนที่เฝ้าติดตามการอภิปรายงบประมาณต่างมีคำถามในใจว่า งบประมาณ วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท จะช่วยให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นและผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างไร ถ้าเปรียบเศรษฐกิจไทยเหมือนเรือ ก็เป็นเรือแป๊ะที่แล่นเอื่อยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยปัญหาสงครามการค้า งบประมาณล่าช้า และภัยแล้ง แต่เมื่อเจอวิกฤติ โควิด-19 กลับเหมือนเจอพายุลูกใหญ่ซัดใส่เรือแป๊ะ จนไม่รู้ทิศรู้ทาง ถ้าไม่ซ่อมฟื้นฟูเรือ ตั้งหางเสือใหม่ จะเดินทางผิด แบบไม่มีวันถึงจุดหมายได้ ยิ่งเมื่อได้ฟังคำแถลงงบประมาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะในคำแถลงงบประมาณ ไม่มีส่วนใดที่ตอบคำถามของประชาชนเลย ตลอด 1 ชั่วโมงครึ่ง มี 0 คำถ้วนที่พูดถึงการจ้างงานในคำแถลงงบประมาณ
...
“ในสถานการณ์วิกฤติที่เราเผชิญ เราต้องการวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ แผนบูรณาการ โครงการ และงบประมาณแบบใหม่ แต่น่าเสียดายที่งบประมาณ 64 เป็นงบที่ทำออกมาเหมือนประเทศไม่มีวิกฤติ 55 แผนงานพื้นฐานและแผนงานยุทธศาสตร์ 14 แผนบูรณาการ นอกจากจะเต็มไปด้วยถ้อยคำสวยหรูแต่นามธรรมแล้ว ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะนำประเทศออกจากวิกฤติได้อย่างไร หลายแผนควรจะชะลอไปก่อน หลายแผนไม่ควรจะมีเลยด้วยซ้ำ และโครงการของงบประมาณ ปี 64 แทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากงบประมาณปี 63 เลย ไม่มีการนำเอาโควิดมาเป็นสมมติฐาน เป้าหมาย ตัวชี้วัดต่างๆ ยังเหมือนกับไม่สะทกสะท้านกับปัญหาวิกฤติ โครงการไม่เปลี่ยนยังพอว่า แต่ถ้าเป้าหมายไม่เปลี่ยน จะไม่ช่วยแก้อะไรได้เลย เราควรหยุดซื้ออาวุธสักปีสองปี ประเทศคงไม่มีปัญหา อาวุธเก่าไม่ได้ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นคง แต่ประชาชนจะรู้สึกไม่มั่นคง เมื่อเรามีอาวุธใหม่ แต่อยู่ในมือของผู้นำประเทศที่มองประชาชนเป็นศัตรู วันนี้คงเห็นแล้วว่าประเทศที่มีความมั่นคงไม่ใช่ประเทศที่มีกำลังทหาร หรือแสนยานุภาพทางอาวุธ แต่เป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านวัคซีน ยา เครื่องมือแพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เราต้องการความมั่นใจว่าเราจะได้รับบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพทั้งในช่วงวิกฤติ และในยามปกติ แต่สิ่งที่ปรากฏในงบ 64 คือ งบกลาโหมยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงบหลังโอน งบเรือดำน้ำยังอยู่ งบจัดซื้ออาวุธใหม่ยังอยู่ งบผูกพันกลาโหมที่ตั้งขึ้นเพื่อจัดซื้ออาวุธก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
ในช่วงท้าย น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอย่างชัดเจนว่า ไม่เห็นเหตุผลใดๆ ที่จะยอมรับร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ นอกจากจะต้องรื้อใหญ่ แบบไม่เห็นเค้าเดิม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว รัฐบาลชุดจึงไม่หลงเหลือความชอบธรรมใดๆ ที่จะบริหารประเทศ บริหารเศรษฐกิจต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เคารพประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินงบประมาณ
“ขอเสนอว่าอย่าหยุดแค่ปรับ ครม. ท่านควรกลับไปย้อนถามประชาชนอีกครั้งว่า ยังต้องการให้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน บริหารประเทศต่อไปหรือไม่ ท่านควรจะย้อนกลับไปถามประชาชนอีกครั้งว่า ต้องการนโยบายที่จะนำประเทศฝ่าวิกฤติครั้งนี้อย่างไร พรรคอื่นจะพร้อมหรือไม่เราไม่ทราบ แต่พรรคก้าวไกลพร้อมแล้วที่จะถามประชาชนว่ายังไว้วางให้รัฐบาลชุดเดิมบริหารประเทศอยู่หรือไม่ เราพร้อมแล้วที่ขอมติจากประชาชนอีกครั้ง ย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่เราอยากให้ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และไม่ทันใจ ไม่ใช่ทันใจพวกเรา ก้าวไกล แต่ไม่ทันใจประชาชน คือตัวท่านนายกรัฐมนตรีเอง แต่แทนที่ท่านจะตระหนัก กลับเอาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มากลบเกลื่อนความผิดพลาด ท่านต้องปรับทัศนคติ เลิกคิดว่าคนเห็นต่างจากท่าน เป็นพวกชังชาติ พวกไม่หวังดี เลิกป้ายสีว่าคนเห็นต่างจากท่าน เป็นพวกคิดร้ายต่อสถาบันหลักของชาติ” น.ส. ศิริกัญญา กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ น.ส.ศิริกัญญา ย้ำว่า ประชาชนรอการเปลี่ยนแปลงมา 6 ปี และจะรอไม่ได้อีกต่อไป จึงถึงเวลาแล้วที่ควร ‘ยุบสภา’ เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน