มองไปข้างหน้าอนาคตรออยู่

แม้ในหลายประเทศสถานการณ์โควิด-19 ยังมีระบาดอยู่ แต่ประเทศไทยเรายังมีโผล่มาบ้างซึ่งก็กลับมาจากต่างประเทศทั้งนั้น

เท่ากับว่าในประเทศเป็นเขต “ปลอดไวรัส” ก็ว่าได้

การปรับสถานการณ์ใหม่ด้วยการคลายล็อกจนมาถึงเฟส 5 จึงสอดรับกับสภาพความเป็นจริงมีความเหมาะสม

ที่ห่วงกันก็คือการเปิดเรียนในวันที่ 1 ก.ค.63 เพราะมีบทเรียนมาจากหลายประเทศ ซึ่งเมื่อเปิดเรียนแล้วเกิดปัญหาจนต้องสั่งปิด เพราะมีการแพร่ระบาดขึ้นมาอีก

ทั้งหลายทั้งปวงต้องยอมรับว่าการปิดเรียนนั้นยาวนานพอสมควร แต่เมื่อมีความมั่นใจว่าสามารถที่จะควบคุมได้และมีมาตรการป้องกันดูแลที่รัดกุมก็ไม่น่าจะมีปัญหา

จุดนี้หากผ่านไปได้ก็ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยสูงขึ้น

นั่นย่อมส่งผลดีต่อสถานการณ์เศรษฐกิจที่จะต้องเร่งขับเคลื่อนเพราะหยุดนิ่งต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะไม่ว่าสถาบันไหนต่างก็คาดการณ์ว่าทั้งโลกอยู่ในภาวะที่หนักเอาการ

พูดง่ายๆว่าชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด

อีกด้านหนึ่งที่ต้องคิดและหาคำตอบให้ได้ก็คือหลังโควิด-19 เราจะไปทางไหนที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศที่สุดในวิถีชีวิตใหม่

ในเบื้องต้นนั้นการเปิดประเทศเพื่อให้การดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศสามารถเดินไปได้ดูเหมือนว่าจะมีกำหนดมาตรการเอาไว้บ้างแล้ว

อย่างการอนุญาตให้ผู้เดินทางเข้าประเทศ ซึ่งแบ่งเอาไว้เป็น 3 กลุ่ม

1.บุคคลที่นายกฯอนุญาต เช่น คณะทูต กงสุล องค์กรระหว่างประเทศ ผู้แทนรัฐบาล ผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็น

2.คนไทยที่จะกลับบ้านจะกำหนดจำนวนระบบทรัพยากรในการรองรับรวมถึงกำหนดระบบการกักโรค

...

3.บุคคลที่ถือสัญชาติต่างประเทศเข้ามาประกอบธุรกิจ มีวัตถุประสงค์เฉพาะ มีความจำเป็นด้านเศรษฐกิจ เช่น ผู้ป่วยทั่วไปที่รักษาในไทยไม่ใช่ผู้ป่วยโควิด-19

บุคคลเหล่านี้ต้องมีระยะเวลาที่ชัดเจนในการอยู่ในประเทศไทย เพื่อทำธุรกิจในระยะเวลาไม่นานก่อนผ่อนปรนจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด

อีกเรื่องถือว่าเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจทั้งระบบคือ มาตรการทราเวลบับเบิล หรือการจับคู่ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องใช้กรอบใหญ่ เช่น ระบบการติดตาม มีแอปพลิเคชัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับกลุ่มที่เข้าทำงานในไทย ไม่นับกลุ่ม

ทราเวลบับเบิล ซึ่งต้องเข้ารับการกักตัวเป็นเวลา 14 วันทราเวลบับเบิลหากเข้ามาแบบมีวัตถุประสงค์ก็จะไม่กักตัวหรือเรียกว่า “กรีนแลนด์” แต่ต้องมีการตกลงกันถึงมาตรการก่อนออกมาจากประเทศต้นทางว่า จะต้องตรวจอย่างไร มีประกันสุขภาพอย่างไร

เป็นรายละเอียดที่จะต้องตกลงกันให้ชัดเจนเพื่อใช้เป็นข้อกำหนด

ถึงวันนี้มีหลายประเทศที่พร้อมจะตกลงจับคู่ท่องเที่ยวกับไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มีความสนใจที่ต้องการมาเมืองไทยในรูปแบบต่างๆ

เพราะประเทศไทยมีเนื้อนาบุญที่สนองความต้องการของชาวต่างประเทศเป็นฐานรองรับ หากสามารถเตรียมพร้อมรองรับอย่างมีประสิทธิภาพสร้างความเชื่อมั่นให้ได้

อีกไม่นานวงจรเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูและเติบโตจะมาถึงเต็มรูปแบบ

อยู่ที่รัฐบาลซึ่งจะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน ซึ่งภาคส่วนอื่นๆ เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว

จะปรับ ครม. หรือไม่ก็เอาให้แน่...อย่าให้ความไม่แน่นอนมาเป็นอุปสรรค.

“สายล่อฟ้า”