ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องกรณี ส.ส.เข้าชื่อให้วินิจฉัยสมาชิกภาพ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” พร้อมส่งสําเนาคําร้องให้ยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาใน 15 วัน แต่ไม่ต้องหยุดทำหน้าที่ ส.ส. และรัฐมนตรี
วันที่ 17 มิ.ย. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญ ประชุมปรึกษาพิจารณาคดีที่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 42 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42 ว่า สมาชิกภาพของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้ถูกร้อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้ถูกร้อง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10) หรือไม่
โดยผลการพิจารณาเป็นดังนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้อง แล้วเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 51 คน ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เข้าชื่อร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้อง ขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10) และความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10) และผู้ร้อง ยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว กรณีจึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (5) และ (9) จึงสั่งรับคําร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย และแจ้งให้ผู้ร้องทราบ พร้อมส่งสําเนาคําร้องให้ผู้ถูกร้องยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสําเนาคําร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54
...
สําหรับการพิจารณากรณีให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรีหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคําร้องและเอกสารประกอบคําร้องยังไม่มีเหตุอันควรสงสัยที่จะมีคําสั่งให้ ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรี จึงมีคําสั่งว่าผู้ถูกร้องไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง.