เข้าโหมดยืดอายุ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เฟสสอง

ในภาวะที่เริ่มมีการคลายล็อก ให้กิจกรรม 6 กลุ่มที่ถูกซัตดาวน์ไป ได้แก่ 1.ตลาด 2.ร้านอาหาร 3.กิจการค้าปลีกส่ง ร้านค้าต่างๆ 4.กีฬา สันทนาการที่ไม่ได้เล่นเป็นทีม 5.ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย 6.ร้านตัดขนสัตว์ ร้านรับเลี้ยงสัตว์ กลับมาเปิดกิจการได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.2563

ภายใต้การจัดระเบียบเข้มงวดไม่ให้เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโควิด–19

ยกเว้นห้างสรรพสินค้าที่ยังไม่ให้เปิดทั้งห้าง ร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ยังไม่ให้ปลดล็อกกลับมาทำมาค้าขายได้ตามปกติให้เสี่ยงต่อการกระจายเชื้อโรค รวมถึงการหักดิบคอสุราด้วยการห้ามขายเหล้า เบียร์ต่อไปอีกพักใหญ่

โดยให้เวลาประเมินผลการผ่อนปรน 14 วัน รอดูประชาชนจะให้ความร่วมมือเคร่งครัดรักษาวินัยกันต่อไปมากน้อยแค่ไหน หากจำนวนผู้ติดเชื้อยังลดลงเรื่อยๆ ก็จะขยายการปลดล็อกให้ธุรกิจต่างๆออกมาทำมาหากินได้มากขึ้น แต่ถ้าแนวโน้มย่ำแย่ลงค่อยกลับมาใส่ล็อกกันใหม่

ตามสถานการณ์ไฟต์บังคับที่บีบ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยอมลดยาแรงลงมาระดับหนึ่ง

อย่างที่เห็นอาการท้องหิวในปัจจุบันของประชานที่ถึงขั้นฆ่าตัวตายจากภาวะความเครียด ทนความอดอยากไม่ไหว สร้างความหดหู่ใจ สะเทือนอารมณ์กันต่อเนื่อง

เพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลต้องรีบบาลานซ์ความสมดุลระหว่างเรื่องความปลอดภัยกับเรื่องปากท้องประชาชนให้ลงตัว ขืนให้ยกการ์ดสูงค้างไปเรื่อยๆอาจอดตายกันหมด

“บิ๊กตู่” ใช้การผ่อนสั้น ผ่อนยาวคลายล็อก ไม่ทำตามแรงกดดันทั้งหมด โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมืองที่ตะบี้ตะบันให้ปลดล็อก 100% ฉวยโอกาสโหนกระแสวิกฤติเชื้อโรคหาเสียงให้ตัวเอง โดยไม่ต้องแบกภาระรับผิดชอบใดๆ

...

เดินหน้าผ่อนคลายแบบมีลิมิต ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เสี่ยงเปิดเมืองพร่ำเพรื่อ ยอมเบรกทัวร์จีน ไม่ให้เข้าประเทศในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจประเทศจ่ออยู่ปากเหว

มิเช่นนั้นมีสิทธิพังกันทั้งหมด เจ็บแต่ไม่จบ หากไวรัสมฤตยูกลับมาอาละวาดรอบสอง
เป็นเรื่องที่ต้องลุ้นความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จะช่วยกำราบเชื้อโรคร้ายให้หมดสิ้นได้เมื่อใด เพื่อให้ทุกภาคธุรกิจกลับมารีสตาร์ตได้เร็วที่สุด

แต่คิวแทรกที่ต้องเคลียร์กันเร่งด่วนคือ ปมฝุ่นตลบ ชิงความเป็นเบอร์หนึ่งในมุ้งพลังประชารัฐ

ในช็อตที่ต้นเรื่องอย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รีบยกหูถึงกลุ่มก๊วนในสังกัด ส่งสัญญาณถอยทัพ ล้มแผนการโค่นอำนาจขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค แทน นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง

เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว สุ้มเสียงในมือของฝ่ายพี่ใหญ่ยังมีไม่มากพอให้การคิดการใหญ่สำเร็จ

ในเมื่อก๊วนใหญ่อย่างขั้วสามมิตรของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ยังแพ็กแน่นกับทีม 4 กุมารของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี

แต่อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณเตือน “บิ๊กตู่” จะลอยตัว ใช้โรคระบาดมาหนีปัญหาการเมืองในพรรคไม่ได้

ยิ่งในยามที่ทั้งสุขภาพและบารมี “บิ๊กป้อม” ในรัฐบาลเริ่มโรยรา หากปรับ ครม.รอบหน้าไปต่อไม่ไหว ก็เท่ากับอยู่ในภาวะขาลอย ไม่เหลือตำแหน่งใดๆ เสี่ยงต่อการถูกจองกฐินเอาคืนจากทุกฝ่าย

ยังไงก็ต้องมีหัวโขนการเมืองให้พี่ใหญ่ได้ยึดเกาะ

แต่ดูตามรูปการณ์แล้วคลื่นลมแค่สงบชั่วคราว รอก่อตัวระลอกใหม่ให้ถูกจังหวะเวลา เพราะจะมาโหวกเหวก แสดงอิทธิฤทธิ์ช่วงที่ทุกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาโควิดคงถูกด่าหูชา

ที่สำคัญขืนทะเล่อทะล่าเหยียบคันเร่งดัน “ลุงป้อม” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคต่อไปมีสิทธิตายยกรัง

ตามคิวล่าสุดที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นเรื่องให้ กกต.ยุบพรรคพลังประชารัฐ หลังมีกระแสข่าวบิ๊กทหาร ส.ว.น้องเลิฟ “บิ๊กป้อม” ล็อบบี้กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐลาออก เปิดทางให้ล้างไพ่เลือกหัวหน้าพรรคกันใหม่

สอดรับกับไลน์หลุดในกลุ่ม ส.ส.พลังประชารัฐแสดงบทสนทนา

ถึงความไม่พอใจบทบาทหัวหน้าพรรคของนายอุตตมที่ไม่ใส่ใจดูแล ส.ส. นำมาปะติดปะต่อมันก็เข้าเค้ามีการเตรียมการก่อหวอดโค่นอำนาจกันจริงในพรรค

แท็กทีมกันเป็นขบวนการหาม “บิ๊กป้อม” ขึ้นสู่ผู้นำพรรคในช่วงความเป็นความตายของคนในประเทศที่กำลังต่อสู้กับสงครามเชื้อโรค

นอกจากเข้าเนื้อถูกสังคมรุมประณามแล้ว เผลอๆอาจเข้าเงี่ยงข้อกฎหมายปล่อยให้คนนอกเข้ามาครอบงำพรรค อาจพากันพังทั้งยวง

“ลุงตู่” คงได้รู้พิษสงนักการเมืองอาชีพ บู๊กับเชื้อโควิดว่าเครียดแล้ว ยังไม่ซีเรียสเท่าแก้เกมภายในของคนกันเอง!!!

ทีมข่าวการเมือง