นายกฯ ยันไม่มีแลกประโยชน์ เชิญเจ้าสัวช่วย
“บิ๊กตู่” คุยฟุ้ง รัฐบาลมีเงินพอไม่ต้องขอเจ้าสัว กำชับทุกกระทรวงใช้เงินกู้ 1 ลล. ต้องรอบคอบยึดระเบียบเป๊ะสั่งคลัง-ธปท.ต้องรอบคอบ วอนเห็นใจโดนกดดันเรื่องค่าไฟ “ธนาธร” ไม่รู้แม่ได้รับเทียบเชิญ แต่หนุนทุกภาคส่วนร่วมมือกันยามวิกฤติ กระทุ้ง รบ.อย่าให้ประชาชนอดตาย พท.จี้ รบ.เปิดข้อมูลเกลี่ยงบฯ 63 ไปใช้อะไรบ้าง แนะรื้อแผนงานงบฯ 64 ทั้งฉบับ เหน็บไม่ฉลาดถ้าตั้งหน้าตั้งตาคิดแต่จะกู้ บี้เปิดสภาตรวจสอบเงินกู้ กมธ.สภาจับไต๋ปั้นตัวเลข รง.ผลิตแมสก์ ปชป.เปิดพรรคให้บริการฆ่าเชื้อในรถฟรี
วงเงินจำนวนมหาศาลกว่า 1.9 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลใช้อำนาจออกเป็น พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ เพื่อแก้ปัญหาผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นที่จับตามองของสังคมแม้แต่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลยังทักท้วงให้รัฐบาลใช้จ่ายอย่างโปร่งใส และเปิดให้สังคมร่วมตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
“บิ๊กตู่” บวงสรวง 238 ปี ศาลหลักเมือง
เมื่อเวลา 06.45 น. วันที่ 21 เม.ย. ที่ศาลหลักเมือง กทม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลทางศาสนาพุทธ และจัดพิธีบวงสรวงสังเวยตามพิธีพราหมณ์ ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาองค์พระหลักเมือง ครบรอบ 238 ปี โดยนิมนต์สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ประกอบพิธีทางศาสนา เพื่อ ความเป็นสิริมงคลของประชาชนและประเทศชาติ จากนั้นเวลา 09.00 น. นายกฯเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เชื่อมสัญญาณไปยังแต่ละกระทรวง โดยที่ทำเนียบรัฐบาล มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วม
...
คุย รบ.มีเงินพอไม่ต้องขอเจ้าสัว
ต่อมาเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวภายหลังประชุม ครม. ว่า การทำจดหมายเปิดผนึกถึง 20 มหาเศรษฐีเมืองไทย เพื่อรับฟังแนวคิดและขอความร่วมมือช่วยเหลือประชาชน และช่วยเหลือบุคลากรในองค์กร ทั้งเจ้าหน้าที่ พนักงาน ลูกจ้าง ซัพพลายเออร์ อะไรไปแล้วบ้าง รวมถึงผู้บริโภคที่เป็นประชาชนด้วย เพราะถือเป็นห่วงโซ่ ทำอย่างไรประชาชนจะมีความสุข สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในช่วงเวลานี้ให้เดือดร้อนน้อยที่สุด ถือเป็นการเพิ่มพื้นที่ให้กว้างขึ้นในการช่วยเหลือดูแลประชาชน ไม่ได้ไปบังคับแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เพราะตนไม่ได้ต้องการ เพียงต้องการระดมความคิดเห็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รัฐบาลไม่ได้จะไปกู้เงินหรือยืมเงินอะไร มีเงินของรัฐบาลอยู่แล้ว สิ่งที่ 20 ท่านทำอยู่ต้องขอบคุณ ทราบดีดำเนินการอย่างดีอยู่แล้ว แต่เพื่อให้การทำงานสอดประสานกัน และต้องขอบคุณเป็นการล่วงหน้าสำหรับทุกอย่าง และนอกจาก 20 ท่านแล้ว ยินดีหากภาคส่วนอื่นจะมีอะไรช่วยเหลือประชาชนทำเรื่องมาได้ แต่คงไม่ได้ไปพบด้วยตัวเองทั้ง 20 ท่าน แต่มีรายชื่อประกาศออกมาแล้ว รายละเอียดของจดหมายไม่ขอรับเงินบริจาคใดๆทั้งสิ้น ขอร้องอย่าไปบิดเบือนกัน
กำชับใช้เงินกู้ 1 ลล.ยึดระเบียบเป๊ะ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม.หารือมาตรการรองรับวิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นเรื่องหลัก ควบคู่เน้นย้ำทุกกระทรวงขับเคลื่อนงานในมิติต่างๆคืองานในหน้าที่และงานที่ ศบค.ดำเนินการ ขณะนี้ พ.ร.ก.ฉบับต่างๆประกาศใช้เรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญคือ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ด้านสาธารณสุข เยียวยา และฟื้นฟู โดยทั้ง 3 ส่วนนี้ ครม.เห็นชอบจัดตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ มีส่วนราชการและผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงระเบียบการใช้เงินต่างๆที่ต้องเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัด รอบคอบ ตามความจำเป็น โดยให้กระทรวงทำแผนงานและโครงการเข้า ครม.ให้ครบถ้วนเร็วที่สุด ให้ทันสถานการณ์ ที่สำคัญต้องฟังเสียงประชาชน
สั่งคลัง–ธปท.ต้องรอบคอบ
นายกฯกล่าวว่า อีก 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 4 แสนล้านบาท และ พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีอำนาจให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท สั่งการให้กระทรวงการคลังหารือกับ ธปท.ให้รอบคอบ รับข้อสังเกตทุกภาคส่วน รวมถึงจากผู้มีประสบการณ์ สิ่งสำคัญทุกคนต้องดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงในช่วงนี้ ย้ำว่ามีหลายมาตรการออกมาแทบจะครอบคลุมอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้มองในแง่มีเงินเยียวยาอย่างเดียว ขอให้ติดตามในเรื่องอื่นด้วยว่ารัฐบาลดูแลอะไรไปแล้วบ้าง อย่ามองว่าแค่นี้น้อยเกินไปหรือไม่ เห็นใจด้วยว่าเรามีเงินเท่าไหร่ กู้เงินได้เท่าไหร่และจะใช้อย่างไร ภาระวันหน้าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ รัฐบาลต้องคิดรอบคอบ นายกฯต้องตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนถึงจะมีมาตรการออกมาได้
วอนเห็นใจโดนกดดันเรื่องค่าไฟ
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าประชาชนว่า ฟังทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการกำกับดูแลพลังงาน มีมาตรการเสนอขึ้นมาลดค่าใช้ไฟฟ้าให้ประชาชนทั่วไป แต่ต้องเห็นใจในเรื่องงบ ประมาณที่ทั้ง 3 หน่วยงานจำเป็นต้องใช้บริหารต่อไปในอนาคต เพราะเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลพยายามดูแลเต็มที่แล้ว การพูดจาที่บิดเบือนไม่เกิดประโยชน์ให้ร้ายกัน บางทีก็เกิดปัญหาในการทำงาน ทำให้การทำงานยากขึ้น ส่งผลกระทบต่อโดยรวม
“ธนาธร” ไม่รู้แม่ได้รับเทียบเชิญ
ที่บริษัท จรูญรัตน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงการทำหนังสือเทียบเชิญ 20 มหาเศรษฐีไทยของนายกฯว่า คิดว่าเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สังคมต้องร่วมมือกัน อย่างการร่วมมือของ 3 บริษัทเอกชน ที่ร่วมกันผลิตอุปกรณ์การแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล คนละไม้คนละมือก็ทำงานให้สังคมได้ เมื่อศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาติดต่อคณะก้าวหน้า ก็ติดต่อเครือข่ายที่รู้จัก ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในภาวะวิกฤติขนาดนี้หากพวกเราทำอะไรได้ช่วยกันทำ เมื่อถามว่านายกฯส่งจดหมายขอความร่วมมือถึงมหาเศรษฐีจะช่วยกระตุ้นหรือฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างไร นายธนาธรตอบว่า “ผมไม่ทราบ ผมไม่รู้ ผมไม่ได้ติดตาม” เมื่อถามย้ำว่าหนึ่งใน 20 รายชื่อมีชื่อนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดารวมอยู่ด้วย นายธนาธรตอบสั้นๆว่า “ไม่ทราบเลยว่าคุณแม่ได้รับจดหมายหรือไม่”
กระทุ้ง รบ.อย่าให้ประชาชนอดตาย
เมื่อถามว่าล่าสุดนางสมพรได้ออกไปแจกเงินและสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนที่เดือดร้อน นายธนาธรตอบว่า “อันนั้นเป็นเรื่องของคุณสมพร ไม่ได้ปรึกษาผม ท่านทำในนามมูลนิธิไทยซัมมิทพัฒนา แต่อย่างที่บอกไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนของสังคม สามารถรับ ผิดชอบต่อสังคมได้คนละไม้คนละมือ” เมื่อถามว่าจะต่อยอดโครงการทำอุปกรณ์การแพทย์ต่อไปอีกหรือไม่ นายธนาธรตอบว่า หากทางแพทย์ยังต้องการก็จะทำต่อไป ส่วนการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล คงต้องรักษาสมดุลระหว่างการดำเนินการทางเศรษฐกิจ กับการหยุดยั้งการแพร่ระบาด หากจะใช้วิธีการหยุดยั้งการแพร่ระบาดแบบกึ่งเปิดกึ่งปิด หรือ semi-lockdown ต่อไป ต้องเยียวยาผู้ที่ ได้รับผลกระทบ และรัฐบาลต้องทำให้มั่นใจว่ามีการเตรียมการด้านสาธารณสุขที่ดีขึ้น ทั้งนี้ อยากฝากไปถึงรัฐบาลว่าอย่าให้ประชาชนอดตาย อย่าให้ประชาชนเดือดร้อน
พท.จี้รื้องบฯ 64 สถานการณ์เปลี่ยน
ที่พรรคเพื่อไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยตัวเลขงบประมาณปี 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท มีการตัดลดงบไปใช้แก้ไขปัญหาเรื่องโควิดเป็นจำนวนเท่าไหร่ เพื่อความโปร่งใสเป็นข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้ว่าการกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับ กว่า 1.9 ล้านล้านบาท รัฐบาลจำเป็นต้องกู้เต็มจำนวนหรือไม่ ส่วนกรอบงบประมาณปี 2564 ที่ผ่าน ครม.ไปแล้ว พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รื้อใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นการจัดทำก่อนมีสถาน-การณ์โควิด เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันพัฒนามาจนเป็นสถานการณ์พิเศษไปแล้ว การใช้กรอบงบประมาณแบบเดิมจึงไม่สมเหตุผล และการตั้งใจจะกู้อย่างเดียวโดยไม่ใช้เงินในกระเป๋าของตัวเองก่อน คงเป็นเรื่องไม่ฉลาดและไม่ถูกต้อง เราต้องการให้รัฐบาลลดภาระการกู้เงินที่เป็นหนี้สินของคนทั้งประเทศให้เหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
ชงเยียวยาหนึ่งหมื่นทุกครัวเรือน
นายวัฒนา เมืองสุข กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคขอเสนอวิธีการเยียวยา ประชาชน คือ 1.ต้องเพิ่มเงินเยียวยาให้ทั่วถึงครัวเรือนละ 10,000 บาทต่อเดือน ยกเว้นผู้ไม่ได้รับผลกระทบ 2.ผู้รับเงินสามารถนำบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านไปขอรับเงินจากธนาคารได้ก่อน จากนั้นรัฐบาลโอนเงินคืนให้กับธนาคาร 3.ผู้ที่ตกหล่นทางทะเบียนบ้าน เช่น ผู้เช่า หรือมีการโยกย้ายภูมิลำเนา สามารถลงทะเบียนซ่อมเพื่อให้รัฐจ่ายเพิ่มเติมได้ ส่วนการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะนั้น สิ่งที่น่ากังวลคือตรวจสอบไม่ได้ เพราะกรรมการล้วนเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ ขาดการถ่วงดุลอาจนำไปสู่สภาวะชงเองกินเอง และแต่งตั้งกรรมการแบบผิดฝาผิดตัว โดยไม่มี ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเลย มีแต่คนในวิชาชีพอื่น และขอเรียกร้องให้รัฐบาลจัดเครื่องบินไปรับคนไทยในต่างแดนกลับประเทศเพื่อหนีภัยโควิด
บี้รัฐบาลเปิดสภาตรวจสอบเงินกู้
นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การที่รัฐบาลให้แต่ละจังหวัดใช้จ่ายงบประมาณส่วน ท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นเรื่องดี แต่เป็นห่วงว่าการรีบใช้อย่างเร่งด่วนข้ามขั้นตอนระเบียบการใช้เงินปกติ อาจเปิดช่องให้ผู้ฉกฉวยประโยชน์ได้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพโปร่งใส และขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเร่งเปิดสมัยประชุมสภาเร็วขึ้น ที่สำคัญคือ พ.ร.ก.เงินกู้มูลค่ามหาศาลเกือบ 2 ล้านล้านบาท หากใช้เงินผิดพลาดหรือมีการทุจริต จะสร้างความเสียหายมหาศาลแก่ประเทศ หากเปิดสภาช้าอาจเข้าตำรากว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ แผนการใช้เงินที่ออกมามีเงื่อนงำมากมาย อ้อยกำลังจะเข้าปากช้างแล้วเดี๋ยวจะดึงออกมาไม่ทัน อย่าฉวยโอกาสใช้วิกฤติโควิดเป็นข้ออ้าง เพื่อปิดปากฝ่ายค้านตรวจ สอบรัฐบาล
กมธ.จับไต๋ปั้นตัวเลข รง.หน้ากาก
ที่รัฐสภา นายมานะ โลหะวณิชย์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ประธานกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า กมธ.มีข้อเสนอต่อรัฐบาล 7 ข้อ คือ 1.รัฐบาลควรออกประกาศห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยทุกประเภทโดยไม่มีข้อยกเว้นให้กับกรณีได้รับการอนุญาตจากอธิบดีกรมการค้าภายใน 2.กระทรวงพาณิชย์ควรออกมาตรการคุมเข้มโรงงานหน้ากากอนามัย จากการตรวจสอบพบว่ามีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยมากกว่า 19 แห่ง ไม่ใช่ 11 แห่งตามที่กระทรวงพาณิชย์อ้าง เพื่อไม่ให้หน้ากากอนามัยหายไปจากท้องตลาด เมื่อควบคุมการผลิตได้ในปริมาณที่เพียงพอแล้ว ให้รัฐบาลแจกฟรีและส่งตรงถึงบ้านประชาชน 3.ควรกำหนดมาตรการป้องกันกักตุนสินค้า โดยควบคุมไม่ให้ขายหน้ากากอนามัยราคาสูงเกินควร 4.ต้องจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาทต่อเดือน จำนวน 3 เดือน ให้แก่ผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปทุกคน ยกเว้นข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้มากกว่าเดือนละ 15,000 บาท โดยไม่ต้องลงทะเบียน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนอย่างรวดเร็วทั่วถึง เพราะเป็นช่วงสถานการณ์ไม่ปกติ ทุกคนควรได้รับการเยียวยาเท่าเทียมกันโดยไม่ต้องลงทะเบียน
ฟันพวกเห็นแก่ได้ขูดรีดช่วงวิกฤติ
นายมานะกล่าวต่อว่า 5.ควรกำหนดค่าคอม-มิชชันบริการส่งอาหารถึงที่ของบริษัทต่างๆที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มาตรา 24 และ 28 คือไม่เกินร้อยละ 15 ส่วนค่าบริการขนส่งผู้โดยสารไม่เกินร้อยละ 10 เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบประชาชนในยามวิกฤติ 6.รัฐบาลควรให้ประชาชนใช้น้ำประปาฟรี ค่าไฟฟ้าตั้งแต่ 5-15 แอมป์ใช้ไฟฟรี แต่ถ้าเป็นไฟฟ้าตั้งแต่ 30 แอมป์ขึ้นไป ให้จ่ายค่าไฟครึ่งราคา รวมถึงงดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในปี 2563 และ 7.รัฐบาลควรเร่งตรวจสอบและนำผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการกักตุนหน้ากากอนามัยจนเกิดการขาดแคลน ตลอดจนดำเนินการกับผู้ ประกอบการที่ลักลอบนำหน้ากากอนามัยออกจากตลาด หรือรายงานการผลิตอันเป็นเท็จ ผู้ประกอบการที่กักตุนและขายหน้ากากอนามัยในราคาแพงกว่ากฎหมายกำหนด
ปชป.เปิดฆ่าเชื้อในรถฟรี 1 เดือน
วันเดียวกัน นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันที่ 22 เม.ย.นี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะเปิดโครงการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ในรถยนต์ ที่บริเวณลานจอดรถของพรรค เปิดให้บริการรถรับจ้างสาธารณะ รถแท็กซี่ และรถยนต์ส่วนบุคคล โดยไม่คิดค่าบริการจนถึงวันที่ 22 พ.ค. ระหว่างเวลา 09.00-15.00 น. ประชาชนร่วมแจ้งเข้ารับบริการผ่านทาง Application QueQ หรือแจ้งลงทะเบียนจองคิวที่พรรคประชาธิปัตย์ เราขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชนร่วมแรงร่วมใจสามัคคีฝ่าฟันไปด้วยกัน
“ประเวศ” ผุดกลไกฟื้นฟูประเทศ
นพ.ประเวศ วะสี ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ กล่าวว่า การต่อสู้ไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ถือเป็นเฟส 1 ปิดพื้นที่ทางสังคมและเศรษฐกิจ ในเฟส 2 ควรทำ 2 เรื่องใหญ่ คือ 1.จัดทำข้อมูลอย่างเข้มข้นของการระบาดและสภาวะทางเศรษฐกิจสังคม ขณะเดียวกันทยอยเปิดพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำบรรเทาความยากลำบาก ใช้กลไกใหม่จากกลุ่มอิสระนักระบาดวิทยาร่วมกับนักเศรษฐศาสตร์เก่งๆ เป็นคณะทำงานภาคีควบคุมการระบาดและฟื้นฟูสังคมเศรษฐกิจพร้อมกันไป ควรรวมตัวกันทำในอาเซียนด้วย เพราะถ้าประเทศใดอ่อนแอจะเป็นจุดที่ลามเข้าประเทศอื่นได้ 2.แก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า ใช้การจัดการที่ดีในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมและการเงิน ซึ่งมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความสามารถจำนวนมาก ควรก่อตัวกันขึ้นเองเป็นกลุ่มอิสระ เป็นสภาผู้นำภาคธุรกิจบรรเทาความยากจนเร่งด่วน รัฐอย่าไปนำ เพราะจะไปจำกัดศักยภาพของเขา เชื่อว่ากลการนี้จะทำงานได้ผลรวดเร็ว และทำงานในระยะยาวต่อไป ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้ประเทศไทยในเกือบทุกเรื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อสร้างประเทศยุคใหม่หลังโควิด
เจียด 600 ล้านให้ราชภัฏทำบิ๊กดาต้า
ที่ทำเนียบรัฐบาล นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม.มีมติรับทราบขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายโครงการจัดทำระบบบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (บิ๊กดาต้า) เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ปี 2563 วงเงิน 600 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าตอบแทนบุคลากรหรือค่าจ้างนักวิจัย 201,071,600 บาท ค่าดำเนินการ 5,451,840 บาท และค่าครุภัณฑ์ 393,476,560 บาท