“ผีน้อย” กลายเป็นข่าวดราม่าที่ครึกโครมในวงการสื่อไทย เริ่มต้นด้วยข่าวผีน้อยที่เดินทางกลับบ้านที่ภาคเหนือ พาครอบครัวไปเลี้ยงฉลองที่ร้านหมูกระทะ ตามด้วยกรณีที่แรงงานไทยที่ด่านสนามบินสุวรรณภูมิ 80 คน หนีการกักกันตัว เพื่อเฝ้าระวัง การติดเชื้อโควิด-19 เป็นเวลา 14 วัน จนรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขต้องประกาศไล่ล่า

รมช.สาธารณสุขขีดเส้นตายให้ “ผีน้อย” ที่หลบหนีการกักกันโรค ต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ภายในเที่ยงคืนวันที่ 10 มีนาคม มิฉะนั้นจะจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศให้รางวัลนำจับผีน้อยหัวละหมื่นบาท โดยใช้เงินส่วนตัว

เรื่องนี้จะโทษผีน้อยฝ่ายเดียวน่าจะไม่เป็นธรรม เพราะมีแรงงานไทยทั้งที่ถูกต้องและผิดกฎหมาย เดินทางจากเกาหลีใต้เข้าประเทศไทยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ รวมทั้งชาวต่างประเทศที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เช่น จีน ญี่ปุ่น อิตาลี ญี่ปุ่นกว่า 5 แสนคน ไม่มีใครถูกกักตัว เพื่อเฝ้าดูอาการ 14 วัน ดูแค่ว่ามีไข้หรือไม่

ผีน้อยส่วนหนึ่งอาจไม่รู้กฎหมาย ไม่ทราบว่ารัฐบาลเริ่มเข้มงวดกักกันตัวแรงงานที่กลับจากเกาหลีใต้ แม้แต่รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่มีกฎหมาย” บังคับให้กักกันตัวผีน้อย ต้องปล่อยให้ไปกักตัวเองที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน และเสี่ยงต่อการแพร่โรคให้คนในครอบครัวและหมู่บ้าน

มีข้อมูลระบุว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีคนไทยและต่างชาติเดินทางมาจากกลุ่มประเทศเสี่ยง เช่น จีนและเกาหลีใต้ เป็นต้น เข้าประเทศไทยและมีการคัดกรองเพียงแค่ตรวจว่ามีไข้หรือไม่ ไม่มีใครถูกกักตัว 14 วัน ถ้าคนส่วนหนึ่งติดเชื้อโควิด-19 คงจะแพร่ระบาดไปไม่มากก็น้อยแต่ทางการไทยไม่ถือสา

...

อาจจะถือว่าคนต่างชาตินับแสนๆ เป็น “นักท่องเที่ยว” ที่หอบเงินมาโปรยปรายแต่ “ผีน้อย” ซึ่งเป็นคนไทยแท้ๆกลายเป็นตัวปัญหา จึงบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดใช่หรือไม่ เหตุที่แรงงานไทยต้องกลายเป็นผีน้อย เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ ชาวนา การศึกษาน้อย ไม่สามารถไปทำงานในเกาหลีใต้โดยถูกต้องตามกฎหมาย

ตัวเลขแรงงานไทยในเกาหลีใต้ เป็นแรงงานถูกกฎหมายประมาณ 2 หมื่นเศษ เป็นผีน้อยกว่า 1.5 แสนคน น่าคิดว่าทำไมกระทรวง แรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศไทย จึงไม่เจรจากับทางการเกาหลีใต้ เพื่อให้รับแรงงานไทยที่ถูกต้องมากขึ้น ไม่ต้องเป็น “ผีน้อย” คอยหลบตม. เหมือนกับ “โรบินฮูด” ไทยในสหรัฐฯที่คนไทยยกย่อง.