เมื่อวานนี้ผมแสดงความไม่เห็นด้วยกับมาตรการแจกเงินประชาชน 3 กลุ่ม คนละ 2 พันบาท ซึ่งเป็น 1 ในมาตรการที่รัฐบาลนี้จะ ดำเนินการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่อาละวาดไปทั่วโลกในขณะนี้

ผมไม่เห็นด้วยกับการ “แจกเงิน” เพราะเห็นว่าเงินของรัฐเป็นเงินภาษีอากรจากราษฎร เป็นเงินที่เขาเสียสละหยาดเหงื่อมาให้รัฐใช้ทำนุบำรุงประเทศชาติ ภาครัฐจึงควรจะใช้เงินภาษีอากรอย่างระมัดระวัง และอย่างให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติสูงสุด

การ “แจกเงิน” ให้ประชาชนไปใช้จ่ายบริโภคอาจจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอยู่บ้างในการถึงมือประชาชนเร็ว อาจใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจของชาติได้เร็ว

ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธว่ามีประโยชน์ในแง่นี้ แต่ผมก็ติงไว้ว่า การแจกเงินเปรียบเสมือนยาอันตราย ควรจะใช้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

ผมเปรียบไปถึง “มอร์ฟีน” ด้วยซ้ำว่าเป็นยาดีแก้ปวดได้ชะงัดนักแต่คุณหมอท่านจะไม่ใช้พร่ำเพรื่อ ใช้เฉพาะเวลาผ่าตัดใหญ่ แค่เข็ม 2 เข็ม เพราะเขารู้ว่าใช้บ่อยๆถี่ๆคนไข้จะเป็นอันตราย

เหตุที่ผมเห็นว่า “การแจกเงิน” แม้จะพอทำได้ในทางเศรษฐศาสตร์ แต่ก็ไม่ควรจะทำบ่อยๆหรือถี่ๆเกินไป มิใช่เพียงแค่เหตุผลที่ว่า เงินก้อนนี้มาจากภาษีอากรของราษฎร จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังเท่านั้น

แต่ยังจะมีผลเสียในด้านอื่นๆตามมาอีกหลายด้าน โดยเฉพาะเหตุผลว่าด้วยความเคยตัวของผู้รับแจกเงินนั่นเอง

ในทางจิตวิทยามนุษย์เราเมื่อได้รับแจกเงินบ่อยๆ ก็จะขาดความกระตือรือร้น มีความรู้สึกเหมือนจะอยู่เฉยๆ ก็ได้เงิน อยู่เฉยๆก็มีส้มหล่นใส่ ความคิดที่อยากจะทำงานอยากจะมุ่งหน้าหารายได้ก็จะเฉื่อยชาลง

ในขณะที่ทฤษฎีเบื้องต้นของการพัฒนาเขาก็สอนไว้แล้วว่า การพัฒนานั้นไม่ใช่เอาปลาไปแจก เพราะแจกหนเดียวกินหนเดียวก็หมด

...

ต้องเอาความรู้ เช่น วิธีทอดแห วิธีตกปลา หรือวิธีจับปลาต่างๆ ไปสอนประชาชนเขาจะได้รู้วิธีหาปลา และจะได้มีปลากินไปตลอดชีวิต

การเอาแต่แจกเงินจึงเหมือนกับการเอาตัวปลาไปแจก เมื่อไรชาวบ้านจะรู้จักวิธีจับปลาล่ะ

รัฐบาลอาจจะบอกว่าแจกคราวนี้ต่างกัน เพราะเป็นการชดเชยความทุกข์ยากให้แก่ประชาชนฐานรากที่ประสบปัญหาจากผลกระทบหลายๆ ด้านของไวรัสโควิด-19

ถ้าไม่เคยแจกมาก่อนเลยยังพอรับฟังได้ แต่นี่ท่านแจกมาเสียจนผู้คนเขาบ่นอยู่แล้วว่า ทำอะไรไม่เป็นนอกจากแจกเงิน...ดังนั้นพอมาแจกเข้าอีกหนนี้จึงเหมือนฟางเส้นสุดท้ายทำให้ประชาชนหลายๆกลุ่มตบะแตกตำหนิรัฐบาล กระหึ่มไปทั้งโซเชียล

ถึงขนาดมีข้อโต้แย้งว่าถ้าเอาไปซื้อหน้ากากอนามัยให้แพทย์พยาบาลอย่างพอเพียง เอาไปเป็นเบี้ยเลี้ยงเป็นโอที หรือเป็นรางวัลพิเศษให้แก่แพทย์พยาบาล ที่ทำงานหนักมากคงไม่มีใครว่า มีแต่จะสรรเสริญด้วยซํ้า

ผมจึงไม่อยากให้นักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่คำนึงถึงตัวเลข GDP คิดแต่จะให้ฟื้นเร็วๆอย่างเดียว...ขอให้ถึงประเด็นที่อยู่นอกเหนือ GDP โดยเฉพาะประเด็นทางด้านสังคมต่างๆที่จะมีผลกระทบต่อพี่น้องรากหญ้า อันจะทำให้การพัฒนาประเทศในอนาคตยากลำบากขึ้นควบคู่ไปด้วย

อย่าให้ประชาชนเป็นโรคเสพติดการแจกเงินเป็นอันขาด จะทำให้การพัฒนาประเทศซึ่งจะต้องไปสอนไปแนะนำให้ประชาชนบางกลุ่มต้องขยัน ต้องทำงานต้องออกแรงด้วยเหนื่อยขึ้นอีกหลายเท่าทวีคูณ

อย่างที่บอกแล้วว่าผมเป็นนักเศรษฐศาสตร์ตกรุ่น ก็คิดอย่างตกรุ่น ผิดถูกอย่างไรให้อภัยคนตกรุ่นด้วยก็แล้วกัน

ที่สำคัญเดือนมีนาคมนี่แหละ พี่น้องประชาชนผู้มีเงินได้ทั้งหลายจะต้องไปเสียภาษีส่วนบุคคลกันแล้วละ หลายๆคนที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้ จะต้องจ่ายเพิ่มจำนวนมาก เพราะมักจะโดนหักไว้หน่อยเดียว

เขาก็จะเสียภาษีไป ด่าท่านรัฐมนตรีคลังไป ที่เอาเงินจากความเหนื่อยยากของเขาไปแจกเสียง่ายๆ

ปกติห่านไทยเป็นห่านที่ชอบร้องอยู่แล้ว ทุกครั้งที่โดนถอนขน...นี่เห็นชัดๆ เลย ท่านถอนขนเขาเดือนมีนาคม พอเดือนเมษายนเอาไปแจกงวดแรก รายละ 1,000 บาทซะแล้ว

ระวังห่านจะร้องดังกว่าเดิมเอานะครับ! มีนาคมปีนี้.

“ซูม”