เตรียมยกพลลงถนน เบนเข็มจากการเมืองในสภาไปสู่นอกสภา
ในคิวล่าสุดที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่กรณีกู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค 191 ล้านบาท พร้อมตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค 10 ปี
ระบุชัดการกู้ยืมเงินดังกล่าวมีพฤติการณ์เข้าข่ายหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เรื่องการห้ามบริจาคเงินให้พรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทต่อปี
ทัพสีส้มแพแตก กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศ ต้องรอลุ้นจะเหลือไพร่พลที่พร้อมร่วมชะตากรรมลงเรือลำเดียวกันต่อไปอีกจำนวนเท่าใด
ค่ายอนาคตใหม่ถูกตัดตอนออกจากสารบบการเมืองก่อนศึกใหญ่การอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงไม่กี่วัน ดูยังไงก็คงมีผลกระทบต่อศึกซักฟอกของทัพฝ่ายค้านอยู่ไม่มากก็น้อย
เพราะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกวางตัวเป็นผู้อภิปรายถูกตัดสิทธิหลุดเก้าอี้ ส.ส.ทันที หมดโอกาสขึ้นเวที ต้องใช้ตัวสำรองลงสนามแทน
เรื่องความหนักแน่นในข้อมูลคงต้องลดลงโดยปริยาย ไม่เข้มข้นเท่าพวกตัวจริงเป็นตัวออกบู๊
แต่ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลจะหายใจได้โล่งอก เพราะขุนพลที่เหลือของฝ่ายค้านก็ซุ่มเก็บข้อมูลมาเป็นอย่างดี หากประมาทก็มีสิทธิพังได้
ศึกนอกก็ร้อน แถมศึกในก็เพิ่มอุณหภูมิเดือดขึ้น เพราะมีช็อตป่วนแทรกคิว สร้างความอลหม่านก่อนเปิดศึกซักฟอก
จากกระแสข่าวความขัดแย้งของกลุ่มก๊วนต่างๆภายในพรรคพลังประชารัฐที่ต้องโร่แก้ข่าวกันอุตลุด
โดยเฉพาะต้นเรื่องอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่รีบปฏิเสธการซุ่มระดมพล 40 ส.ส. ขับไล่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ พ้นเก้าอี้ประธานวิปรัฐบาล
โทษฐานทำหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ ปล่อยให้องค์ประชุมมีปัญหาซ้ำซากอยู่หลายครั้ง
...
ข่มกลับหลังได้ข่าวระคายหู กลุ่ม ส.ส.ในสังกัดนายวิรัช และ นายสุชาติ ชมกลิ่น ประธาน ส.ส.พลังประชารัฐ อิดออดไม่อยากกดปุ่มไว้วางใจให้
“ผู้กองธรรมนัส” ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
จู่ๆรอยร้าวในพรรคก็โผล่กลับมาทวีความรุนแรงช่วงก่อนบิ๊กแมตช์สำคัญเพียงไม่กี่วัน
มันก็พอมีมูลให้เห็นถึงสัญญาณผิดปกติเกิดขึ้นในพรรค
ชนิดที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต้องโร่ไปไกล่เกลี่ยคู่ขัดแย้งฝ่ายต่างๆในพรรคด้วยตัวเอง จูนอาการเครื่องรวนก่อนทำศึกใหญ่
แทนที่จะได้เอาเวลาไปเตรียมข้อมูลรับมือเกมซักฟอก กลับต้องเสียสมาธิแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเคลียร์ใจ ยุติความบาดหมางไม่ให้บานปลายออกไป
พลังประชารัฐมีเรื่องให้ห่วงหน้าพะวงหลังทั้งศึกนอกและศึกใน
ลำพังแค่ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเดียวถือว่าสาหัสพอตัวอยู่แล้ว หากชี้แจงไม่ได้ เคลียร์ไม่ขาด แม้จะรอดศึกซักฟอกไปได้ แต่อาจต้านทานกระแสสังคมไม่ไหว มีสิทธิถูกเช็กบิลต่อในชั้น ป.ป.ช.
โดยเฉพาะจ่าฝูงอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แบล็กลิสต์เบอร์ 1 เที่ยวนี้ต้องถูกขยี้อย่างหนัก คงสะบักสะบอมพอสมควรกว่าจะฝ่าด่านไปได้
ตามรูปการณ์แล้ว 6 รมต.ที่ถูกจับขึ้นเขียงก็คงถูไถเอาตัวรอดไปได้ เพราะนับจำนวนเสียงในมือยังไง ฝ่ายรัฐบาลก็มีแต้มต่อเหนือฝ่ายค้านอยู่พอตัว หากไม่มีการหักเหลี่ยมโหดเกิดขึ้น
แต่ที่ต้องลุ้นควบคู่กันไปคือ การบาลานซ์คะแนนไว้วางใจของ 6 รมต.ที่ต้องเกาะกลุ่มให้ใกล้เคียงกันที่สุด
โดยเฉพาะใครที่โดนหมั่นไส้จากก๊วนต่างๆ หากได้แต้มไว้วางใจต่ำกว่าคนอื่นมากๆ ถ้าไม่ใช่พวกสายแข็งอย่าง 3 พี่น้องตระกูล ป. อาจสะเทือนไปถึงเก้าอี้รัฐมนตรี
มีความเสี่ยงไปอยู่ในโซนถูกปรับออกจาก ครม.
ยิ่งกลุ่มเสี่ยงที่มีแผลเยอะหน่อยอย่าง ร.อ.ธรรมนัสจึงอยู่ในข่ายที่เก้าอี้ร้อนกว่าใคร จากปัญหาคุณสมบัติสีเทา และถูกเขม่นจากหลายก๊วน ตกเป็นเป้ารุมเขย่าจากมุ้งต่างๆที่แข่งบารมีกันในพรรค
ก๊วนการเมืองเคลื่อนไหวเลื่อยขากันให้วุ่น ล่อกันนัว ทั้งกดดัน ต่อรอง เขย่ากันจนฝุ่นตลบ
เรื่องของเรื่องเพื่อรักษาโควตารัฐมนตรีในกลุ่มของตัวเอง และตัดโควตาคู่แข่ง ตามไฟต์บังคับการปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากศึกซักฟอก
ต่างฝ่ายต่างหาช่องเตะตัดขาก๊วนคู่แข่งให้เสียหลัก เขย่าอุณหภูมิร้อนรอกันล่วงหน้า ตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาปรับ ครม.อย่างเป็นทางการศึกคนในกันเองนี่แหละน่าห่วงกว่าศึกซักฟอก!!!
ทีมข่าวการเมือง