เปิดคำวินิจฉัยฉบับเต็ม ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 7 ต่อ 2 ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ห้ามร่วมตั้งพรรคใหม่
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 21 ก.พ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัยกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคําสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยผลการวินิจฉัย ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ร้องมีอํานาจยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (8 ต่อ 1) วินิจฉัยว่า การดําเนินการกรณียุบพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 ของผู้ร้องนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ร้องมีมติในคราวประชุมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 ว่า ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน กรณีมีการร้องเรียนว่ามีเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 92 ซึ่งนายทะเบียนฯ ได้มีคําสั่งตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเสนอต่อนายทะเบียนฯ แล้ว และนายทะเบียนฯ ได้นําเสนอต่อผู้ร้องเพื่อพิจารณา ผู้ร้องเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องกระทําการฝ่าฝืนมาตรา 72 อันเป็นเหตุให้ยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง (3) จึงมีมติให้ยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นคดีนี้ ซึ่งเป็นคนละกรณีกับกระบวนการดําเนินคดีอาญาที่แยกเป็นอิสระต่างหากจากคดีนี้ การยื่นคําร้องของผู้ร้องจึงชอบด้วยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ผู้ร้องจึงมีอํานาจยื่นคําร้องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
ประเด็นที่สอง มีเหตุสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามมาตรา 72 ประกอบมาตรา 92 หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) วินิจฉัยว่า การที่พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 72 นั้น เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 72 ได้กําหนดข้อห้ามไว้เพื่อป้องกันมิให้พรรคการเมืองไปเกี่ยวข้องกับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเหล่านั้น อันจะทําให้พรรคการเมืองกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมหรือสนับสนุน หรือช่วยเหลือในการกระทําความผิดไปด้วย และมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันพรรคการเมืองของประเทศไทย อันเป็นมาตรการที่สําคัญเพื่อเสริมสร้างสถาบันพรรคการเมืองของประเทศไทยให้เป็นสถาบันที่มีความโปร่งใสและเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชน
...
การดําเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองต้องอาศัยรายได้ของพรรคการเมืองซึ่งกฎหมายกําหนด แหล่งที่มาไว้ตามมาตรา 62 ดังนั้น เงินส่วนใดที่พรรคการเมืองนํามาใช้จ่ายในการดําเนินกิจกรรมทาง การเมืองซึ่งมิได้มีแหล่งที่มาและวิธีการได้มาตามที่กฎหมายระบุไว้ ย่อมถือว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบ แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มิได้บัญญัติห้ามการกู้ยืมสําหรับพรรคการเมืองไว้โดยชัดเจน แต่ก็ไม่ได้รับรองว่าให้กระทําได้ ประกอบกับพรรคการเมืองมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน และเงินกู้ยืมแม้มิได้เป็นรายได้แต่ก็เป็นรายรับ และเป็นเงินทางการเมือง การดําเนินการเกี่ยวกับการได้มาและการใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองจึงต้องกระทําภายในขอบเขตที่กฎหมายกําหนดไว้เท่านั้น เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว การกู้ยืมเงินของพรรคการเมืองจึงต้องสอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
คําว่า “บริจาค” และ “ประโยชน์อื่นใด” ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เป็นคําที่มีความหมายเฉพาะในกฎหมายนี้เพื่อกําหนดสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายบังคับแห่งกฎหมายในเรื่องนี้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ต้องการควบคุมการสนับสนุนทางการเงินที่ให้แก่พรรคการเมืองให้เป็นอิสระจากการถูกครอบงําของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า งบการเงินประจําปี 2561 ของผู้ถูกร้องมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้อยู่เพียง 1,490,537 บาท แต่ผู้ถูกร้องกลับทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคผู้ถูกร้อง รวม 2 ฉบับ รวมเป็นจํานวนเงินสูงถึง 191,200,000 บาท โดยมีอัตราดอกเบี้ยและเบี้ยปรับที่ไม่เป็นไปตามปกติทางการค้า ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคผู้ถูกร้องที่สามารถคํานวณเป็นเงินได้ เป็นการทําสัญญากู้ยืมเงินที่ไม่เป็นตามปกติทางการค้าและไม่เป็นไปตามปกติวิสัยของการให้กู้ยืมเงินและการชําระหนี้เงินกู้ยืม ถือเป็นการให้ประโยชน์อื่นใดแก่ผู้ถูกร้องที่สามารถคํานวณเป็นเงินได้ และเมื่อรวมประโยชน์อื่นใดที่ผู้ถูกร้องได้รับจากเงินกู้ยืมดังกล่าวกับเงินที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้บริจาคให้แก่ผู้ถูกร้องในปี 2562 จํานวน 8,500,000 บาทแล้ว ย่อมชัดแจ้งว่าเป็นกรณีการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่มีมูลค่าเกินสิบล้านบาทต่อปีซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 66 วรรคสอง
จากข้อเท็จจริงพฤติการณ์และพยานหลักฐานดังกล่าวเห็นว่า การกู้ยืมเงินของผู้ถูกร้องมีเจตนาหลีกเลี่ยงการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นตามมาตรา 66 เมื่อการรับบริจาคดังกล่าวต้องห้ามตามมาตรา 66 จึงเป็นการรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นโดยรู้ หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 72 กรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องกระทําการฝ่าฝืนมาตรา 72 อันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามมาตรา 42 วรรคสอง ประกอบมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3)
ประเด็นที่สาม คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองของผู้ถูกร้องจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 92 วรรคสองหรือไม่ อย่างไร
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) วินิจฉัยว่า เมื่อผู้ถูกร้องได้กระทําการอันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง จึงต้องสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องแล้วจึงชอบที่จะมีคําสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องที่ดํารงตําแหน่งดังกล่าวอยู่ในวันที่ 5 มกราคม 2562 หรือวันที่ 11 เมษายน 2562 โดยกําหนดระยะเวลาของการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งให้เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนพอเหมาะพอควรแก่กรณีดังคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 ลงวันที่ 7 มีนาคม 2562 ดังนั้น จึงให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องที่ดํารงตําแหน่งอยู่ในวันที่มีการกระทําอันเป็นเหตุให้สั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องมีกําหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง
ประเด็นที่สี่ ผู้ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งจะไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกไม่ได้ ภายในกําหนดสิบปีนับแต่วันที่พรรคผู้ถูกร้องถูกยุบตามมาตรา 44 วรรคสอง หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) วินิจฉัยว่า เมื่อสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคผู้ถูกร้องแล้ว จึงต้องสั่งห้ามมิให้ผู้ซึ่งเคยดํารงตําแหน่งกรรมการบริหารพรรคของผู้ถูกร้องที่ดํารงตําแหน่งดังกล่าวอยู่ในวันที่ 6 มกราคม 2562 หรือวันที่ 11 เมษายน 2562 ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีกภายในกําหนดสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง.