มาช้าดีกว่าไม่มา

ก็ไม่รู้จะให้คำจำกัดความยังไงดี แต่คงจะโล่งอกกันไปได้เปลาะหนึ่งแม้จะทุลักทุเลมาตลอดสุดท้ายก็ผ่านพ้นไปได้

กำลังพูดถึงงบประมาณแผ่นดินปี 63 ซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการบริหารประเทศอันไม่ต่างไปจากน้ำมันหล่อลื่น

เพราะถ้าไม่มี “เงิน” งานไม่เดินก็จบกัน...

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้มีการลงมติกันใหม่ในวาระ 2-3 ด้วยเหตุที่มีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน

ส.ส.ที่เสียบบัตรแทนกันนั้นถือว่ามีการกระทำที่ไม่สุจริต จึงต้องมีการลงโทษ เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา

รัฐบาลเองนั้นใจคอไม่ดีแน่ เพราะยิ่งงบประมาณซึ่งล่าช้าอยู่แล้วล่าช้าออกไปอีกก็จะเป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนประเทศ

6 ฝ่ายค้านได้มีมติดำเนินการด้วยมีส่วนร่วมในเรื่องนี้เพื่อลงมติกันใหม่นั้นใช้วิธีการลงชื่อเพื่อให้องค์ประชุมครบถ้วน

แต่ไม่ยอมร่วมสังฆกรรมด้วยคือลงชื่อแล้วออกจากห้องประชุมมีเพียง ส.ส.บางคนเท่านั้นที่อยู่ในห้องประชุมเพื่อสังเกตการณ์

มี กมธ.บางคนในสัดส่วนของพรรคฝ่ายค้านที่เข้าประชุมและขออภิปรายอ้างว่าได้ขอสงวนคำแปรญัตติค้างไว้จึงขอต่อให้จบ

มองกันแบบการเมืองก็คือขอป่วนสักนิด

ว่าไปแล้วท่าทีของฝ่ายค้านนั้นอ้างว่าที่ไม่ขอร่วมสังฆกรรมก็เพราะเกรงว่าจะทำผิดกฎหมาย เนื่องจากมีกำหนดเวลา 105 วันที่จะต้องดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อย แต่เวลานี้มันเกินเวลาไปแล้ว

ทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวกับกรอบเวลานี้เลย

เอาเหตุผลจริงๆคงเพราะกลัวจะกลายเป็น “ผู้ร้าย” เนื่องจากทำให้งบประมาณมีปัญหาและถ่วงเวลาให้เกิดความล่าช้าสร้างความเสียหายต่อประเทศ

ก็ต้องแทงกั๊กอย่างนี้แหละ...คือจำใจต้องยอม?

...

สิ่งที่จะต้องตามกันต่อไปสำหรับ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่เสียบบัตรแทนกันนั้น ปรากฏว่าการดำเนินการเพื่อนำไปสู่การลงโทษนั้น ดูเหมือนจะเป็นไปอย่างเนิบๆ แม้เจ้าหน้าที่สภาจะมีข้อมูลเต็มมือ แต่เจ้าหน้าที่กลัวอิทธิพลของ ส.ส.

ต้องโยนไปให้ กมธ.กิจการสภารับลูกไปดำเนินการต่อ ผลจะเป็นอย่างไรก็จะส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนและลงโทษกันต่อไป

ทั้งๆที่ต้องถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง สร้างความเสียหาย โดยเฉพาะพรรคการเมืองต้นสังกัดที่ควรจะแสดงความรับผิดชอบ แต่ก็เก็บปากเงียบ หวังจะให้กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งจบๆกันไป

ก็นี่แหละ...สำนึกของนักการเมืองไทยชวนให้หดหู่ใจยิ่งนัก

จากนี้ไปการเมืองน่าจะไปเข้มข้นอีกครั้ง ทั้งเรื่อง “ยุบพรรค” กรณีหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ปล่อยเงินกู้ให้พรรคที่ผลการวินิจฉัยจะออกมาในวันที่ 21 ก.พ.63

และการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล มีหมุดหมายที่ 6 รัฐมนตรี นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯเป็นเป้าหมายหลัก

ทั้งฝ่ายรัฐบาลที่ตั้งป้อมรับมือทั้งในสภาและนอกสภา ฝ่ายค้านก็เตรียมพร้อมเปิดศึกด้วยความมั่นใจว่า “ลุงตู่” เสร็จแน่ๆ

หลังจากจบศึกอภิปราย แม้รัฐบาลจะชนะด้วยเสียงมากกว่า แต่ดูอาการการทำงานของบรรดารัฐมนตรีชุดนี้ พอมองเห็นแล้วว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนบางคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ “มือไม่ถึง”

ยิ่งประเทศกำลังมีปัญหาสารพัดเรื่องอย่างนี้เอาไม่อยู่แน่!

“สายล่อฟ้า”