กัดฟันลุกขึ้นมาลุยงานใหม่ หลังล้มหมอนนอนเสื่อ ไข้ขึ้นไป 1 วันเต็ม

ในคิวการแก้ปัญหาช็อตเร่งด่วน “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” ที่หยุดพักไม่ได้ ต่อให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ฟุบหนักแค่ไหนก็ต้องแข็งใจลุกขึ้นสู้

ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังการแพร่กระจายของเชื้อร้ายจากเมืองจีนอย่างเข้มงวด ในภาวะที่คนไทยกำลังหวาดวิตก แตกตื่นกันยกใหญ่

ทั้งเฟกนิวส์ มโนโซเชียลร่วมผสมโรง ทำเอาวิตกจริตกันไปทั่ว

แม้ “บิ๊กตู่” จะออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ยืนยันควบคุมสถานการณ์ได้ แต่สุดท้ายกระทรวงสาธารณสุขต้องตามดับข่าวลือ ข่าวลวงไม่หยุดหย่อน

ไวรัสโคโรนาที่ว่าร้ายยังไม่น่ากลัวเท่าไวรัสข่าวปลอม

ที่สำคัญผลพวงของไวรัสอู่ฮั่นส่อลามไปฉุดสภาวะเศรษฐกิจ เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวตั้งท่าหดหายไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท เซ่นมาตรการยาแรงของประธานาธิบดีจีน “สี จิ้นผิง” แช่แข็งทัวร์จีนห้ามท่องเที่ยวต่างประเทศ

เศรษฐกิจไทยที่เหนื่อยหนักอยู่แล้ว ส่อเค้าทรุดฮวบกว่าเดิม “บิ๊กตู่” ต้องลากสังขารมานั่งหัวโต๊ะ ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ระดมสมองภาคธุรกิจฝ่าวิกฤติโคโรนากันเร่งด่วน

“ลุงตู่” หัวหมุนถูกปัญหารุมเร้า ต้องไล่แก้ช็อตเฉพาะกิจมือเป็นระวิงมาตั้งแต่ต้นปี ทั้งภัยแล้ง น้ำประปาเค็ม ฝุ่นพิษ PM2.5 มาถึงคิวล่าสุดไวรัสโคโรนา

อีกทางก็ต้องเตรียมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่ฝ่ายค้านยื่น 6 ชื่อรัฐมนตรีขึ้นเขียงซักฟอก

นำทีมโดย “บิ๊กตู่” ส่วนอีก 5 รายได้แก่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์

...

เจาะจงไปที่ รมต.สายพลังประชารัฐล้วนๆ โดยเฉพาะ 3 พี่น้องตระกูล ป. โดนจับขึ้นเขียงกันพร้อมหน้า ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย–ประชาธิปัตย์ติดร่างแหด้วย

ดูรายชื่อแล้วก็ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ เป็นชื่อที่ถูกอยู่ในลิสต์แต่แรกทั้งหมด แค่ถูกชักเข้า ชักออก วนกันไปมาก่อนจะสรุปกันลงตัวทั้งในพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้านต้องเคลียร์ใจกันหลายยก

ไทม์ไลน์จากที่จะยื่นซักฟอกตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ถูกลากมาปลายเดือน ม.ค.2563 ผิดปกติจากการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกครั้งที่ไม่เคยยืดเยื้อเหมือนรอบนี้

ก๊วนพรรคเล็กเองก็อยากโชว์ออฟอภิปรายรัฐมนตรีที่ตนเองต้องการ กล้างัดข้อกับพรรคใหญ่

กว่าจะทุบโต๊ะเคาะชื่อ 6 รมต.รอบสุดท้ายออกมาก็มีอาการกินแหนงแคลงใจให้เห็น ถึงขั้นถูกตั้งข้อสงสัยมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องในการถอดชื่อใครออกหรือไม่

ข้อมูลไม่ไปทางเดียวกัน สะท้อนฝ่ายค้านเองก็ไม่เป็นเอกภาพในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ดูทรงแล้วฝ่ายรัฐบาลน่าจะประคองเอาตัวรอดในเวทีซักฟอกไปได้ เพราะเสียงฝ่ายค้านยังไงก็สู้ฝั่งรัฐบาลไม่ได้ และตามมารยาทการเมือง หากมีหลักฐานคาหนังคาเขา เต็มที่พรรคร่วมรัฐบาลคงทำได้แค่งดออกเสียง จากนั้นค่อยหาทางปรับ ครม.แก้ภาพลักษณ์กันต่อไป

แต่คนรับบทหนักสุดอยู่ที่ “ลุงตู่” ที่ถูกฝ่ายค้านล็อกเป้า จองกฐินถล่มหลายเรื่อง โดยเฉพาะข้อหาบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด ทำให้ประเทศเสียหายร้ายแรง

โฟกัสไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว เจาะจงให้ “ลุงตู่” เป็นผู้ตอบคำถามเพียงผู้เดียว โดยตัดชื่อ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ทิ้งในนาทีสุดท้าย

ป้องกันไม่ให้มีใครเป็นตัวช่วยชี้แจงแทน “บิ๊กตู่” ตามเหลี่ยมที่ฝ่ายค้านเองก็รู้ดีว่า หากมีชื่อ “สมคิด–อุตตม” อยู่ในลิสต์ซักฟอก มีหวังถูกฉวยจังหวะพีอาร์โครงการบัตรสวัสดิการประชารัฐ โครงการชิมช้อปใช้ หรือโครงการอีอีซี ตอกย้ำผลงานชิ้นโบแดง ช่วยให้ “ลุงตู่” พูดแค่ภาพรวมแบบหล่อๆรอดตัวไปอย่างสบายๆ

ฝ่ายค้านจึงต้องปรับแผนเขี่ยคนชี้แจงแทนออก ไม่ให้เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจถูกใช้เป็นฟลอร์โปรโมตผลงานรัฐบาล โดยที่ “ลุงตู่” ไม่ต้องบอบช้ำ

แต่ในเกมเขี้ยวที่ทันกัน ฝ่ายรัฐบาลก็เตรียมแผนรองรับ ให้ “สมคิด-อุตตม” ขอใช้สิทธิชี้แจงในกรณีที่ถูกอภิปรายพาดพิง หากฝ่ายค้านแขวะมาถึงเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการชิมช้อปใช้ หรือโครงการอีอีซี ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบโครงการโดยตรง

แถมฝั่งรัฐบาลยังเตรียมขุนพลคอยสแตนด์บายร่วมกับทีมองครักษ์ คอยประท้วงดักทางไม่ปล่อย “ลุงตู่” สู้ตามยถากรรมเพียงลำพัง

ขืนให้ “ลุงตู่” รับเละ น่วมอยู่คนเดียว อาจพังกันทั้งแถบ!!!

ทีมข่าวการเมือง