ปิดเมืองสกัด“ไวรัสมรณะ”

ยิ่งกว่าฉากจินตนาการ “วันสิ้นโลก” ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ฮอลลีวูด

แต่มันคือเรื่องจริง ปรากฏการณ์จริง กับมาตรการเข้ม การตัดสินใจเด็ดขาด ตามสไตล์พญามังกร รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนสั่งให้ปิดเมือง 3 เมืองคือ อู่ฮั่น หวงกัง และอี้เซี่ยว ในมณฑลหูเป่ย

ไม่ให้คนในออกจากเมือง ห้ามคนนอกเข้าพื้นที่อันตราย สั่งให้ประชาชนอยู่ในเคหสถาน

รวมถึงงดฉลองเทศกาลตรุษจีนเกือบทั่วประเทศ

เพื่อป้องกันและควบคุมการลุกลามของเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาด มีผู้ติดเชื้อป่วยเป็นไข้ โรคระบบทางเดินหายใจกว่า 800 ราย เสียชีวิตไปแล้วกว่า 25 ศพ

นักสิทธิมนุษยชนโลกสวยไปข้างหน้าก่อนเลย เจอมาตรการเข้มสไตล์ “จีนคอมมิวนิสต์”

ตัดฉากกลับมาที่สถานการณ์ “ฝุ่นพิษมรณะ” ในประเทศไทย

ที่เกิดขึ้นในห้วงดาวมฤตยูกระแทกดวงเมือง ตามสถานการณ์รัฐบาลผสมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม

นำ “เรือเหล็ก” เผชิญมรสุมถาโถมเข้าใส่แบบหายใจหายคอไม่ทัน

...

สารพัดปัญหาผุดขึ้นมาให้แก้ไขแทบจะวันต่อวัน เรื่องเก่ายังไม่จบ ปมใหม่โผล่มาซ้ำ นัวเนียไปหมด

แถมแต่ละโจทย์โคตรโหดหิน แก้ไขยากทั้งนั้น

ท่ามกลางแรงกดดัน เสียงด่าจากประชาชนที่เดือดร้อน บวกกับเกมการเมืองฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสเร่งกระแสเขย่ารัฐบาล ประจานกึ๋นบริหารของผู้นำและคณะรัฐมนตรี

อารมณ์สังคมแบบไทยๆ ณ ห้วงนี้ มีอะไรด่า “ลุงตู่” ไว้ก่อน

โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ผู้คนในเมืองกรุงกำลังเดือดร้อนหนักจากภาวะฝุ่นควันพิษ PM 2.5 ปกคลุมเมือง เกินระดับมาตรฐาน เข้าขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

เจ็บคอ ตาแดง หอบหืด ป่วยกันทั่วบ้านทั่วเมือง

สถานการณ์แบบที่ดารานักแสดง นักวิชาการคนดัง แห่โพสต์โซเชียลฯเป็นเชิงประชดประชัน เหน็บแนมที่ชาวบ้านถูกปล่อยให้เผชิญชะตากรรมจากฝุ่นพิษ

ถามหาความรับผิดชอบ จี้หามาตรการแก้ไขจากรัฐบาล

กระแสฝุ่น PM 2.5 ลามหนัก ทำรัฐบาล “บิ๊กตู่” สำลัก ในจังหวะที่ต้องยกระดับการรับสถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้า โดยกรุงเทพมหานครได้สั่งปิดโรงเรียนในสังกัด รวมถึงโรงเรียนนอกสังกัด กทม.ที่อยู่ในพื้นที่ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานก็ได้ปิดทำการเรียนการสอน 1–2 วัน

มาตรการแก้ปัญหาระยะสั้น ล้อกับ “ยาแรง” ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อวิ่งเข้าเขตเมือง

เบื้องต้นยังแค่ล็อกรถ 10 ล้อสลับวันคู่ วันคี่ ไม่กล้าหักดิบแบบที่ห้ามประชาชนใช้รถส่วนตัวออกจากบ้าน สั่งเด็ดขาดห้ามเกษตรกรเผาไร่ เผานา ถ้าฝ่าฝืนมีผลทางกฎหมาย ใช้มาตรการเข้มดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดกับผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ทำให้ฝุ่นกระจาย ไม่ใช้ผ้าใบคลุมก่อสร้างตึกสูง ฯลฯ

สไตล์สังคมแบบไทยๆด่ารัฐบาล แต่โดน “ยาแรง” ก็โวยวาย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยปรากฏการณ์ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่กลายเป็นวิกฤติประจำปี ไฟต์บังคับที่ต้องหาเตรียมมาตรการรองรับปัญหาระยะยาว ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกันแถลงยกระดับมาตรการต้านฝุ่น

ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมายกับต้นตอที่ทำให้เกิดฝุ่นพิษ ติดดาบผู้ว่าราชการจังหวัดจัดการปัญหาในพื้นที่ ถ้าวิกฤติหนักสุดนายกรัฐมนตรีจะบัญชาการด้วยตัวเอง

ค่อยๆจ่ายยาแรงตามกระแสกดดันรัฐบาล

เมืองประชาธิปไตยแบบไทยๆ เด็ดขาดเอาอย่าง “จีนคอมมิวนิสต์” ไม่ได้

ยิ่งในจังหวะสถานการณ์ที่รัฐบาลกำลัง “เมาหมัด” กับสารพันปัญหา ยังเจออาการสะดุดขาตัวเอง

อาการแบบที่ผู้นำอย่าง “นายกฯลุงตู่” ถึงกับ “ถอนหายใจ” หมดแรง

ระหว่างการตอบคำถามนักข่าว “ปมฉาว” กรณี ส.ส.กดบัตรแทนกันในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เป็นผลทำให้วิปรัฐบาลต้องรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เพื่อส่งร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความขั้นตอนร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนทั้งประเทศ

จากเหตุที่นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย ถูกนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คู่กัดชิง ส.ส.ในพื้นที่ แฉหลักฐานว่าเจ้าตัวไปโผล่งานวันเด็กในพื้นที่ในห้วงลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ แต่มีชื่อในบัญชีโหวต น่าจะทำให้กฎหมายงบประมาณมีปัญหา

โดยคณะกรรมการสอบสวนฯของสภาที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้ง ก็ตรวจสอบแล้วยืนยันเป็นเรื่องจริง ขณะที่เจ้าตัวนายฉลองก็หนีไม่ออก

ยอมสารภาพว่าลืมบัตรไว้ แต่อ้างไม่รู้ใครกดปุ่มลงคะแนนให้

ในสถานการณ์ยังต่อเนื่องถึงนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่ถูกนายนิพิฏฐ์ ตามแฉหลักฐานว่าไปทัวร์จีนในห้วงลงมติ พ.ร.บ.งบฯเช่นเดียวกัน

แถมชนวนยังลามไปถึงการแฉคลิปผ่านสื่อทีวีที่มี ส.ส.ชายของพรรคภูมิใจไทย และ ส.ส.หญิงพรรคพลังประชารัฐ กดบัตรแทนกันระหว่างโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563

ตอกย้ำขั้นตอนการโหวตกฎหมายงบประมาณส่อไม่ชอบ

แม้ในมุมของ ส.ส.หญิงพรรคพลังประชารัฐจะชี้แจงพอเข้าใจได้ กับภาพที่ปรากฏเป็นเพียงการเสียบบัตร กดลงคะแนนให้กัน เนื่องจากเครื่องลงคะแนนมีแค่ 80 ช่อง ไม่พอกับจำนวน ส.ส.ของพรรคกว่า 120 คน

แต่ในมุมของ 2 ส.ส.ค่ายภูมิใจไทย จนมุมด้วยหลักฐานคาหนังคาเขา

จุดชนวนกฎหมายงบประมาณมีปัญหาแน่ แต่จะระดับไหนเท่านั้น

ไม่ต้องพูดถึงโมฆะทั้งฉบับต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ หรืออย่างเบาแค่ลงมติใหม่รายมาตราที่เป็นปัญหา

เอาแค่รอกระบวนการศาลรัฐธรรมนูญที่ต้องใช้เวลาอีก 1–2 เดือน นั่นก็จะทำให้การใช้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณใหม่ที่ช้ามาแล้ว 4–5 เดือน จากปกติที่งบประมาณใหม่ต้องเบิกใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว แนวโน้มต้องลากออกไปอีก เผลอๆอาจถึงกลางปีกว่าจะได้ใช้งบประมาณใหม่

มีเวลาเหลือแค่ครึ่งปีหลังเท่านั้นในการเร่งเบิกจ่าย

ภายใต้สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจที่บีบรัดหน้าดำหน้าเขียว จากภาวะสงครามการค้าโลกทำให้ภาคการส่งออกที่เป็นรายได้หลักของประเทศกระเทือนอย่างแรง ซ้ำด้วยภาวะค่าบาทแข็ง เอกชนแหยงชะลอการลงทุน เหลือแค่ความหวังสุดท้าย การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในจากการเร่งลงทุนภาครัฐ

ต้องพึ่งงบประมาณปี 2563 เป็นน้ำหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจเหือดแห้ง

แต่ก็ต้องสะดุดอย่างแรง เพราะพฤติการณ์ไร้ความรับผิดชอบของ ส.ส.บางคนที่ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินค่าไม่ได้ สร้างความเดือดร้อนกับคนทั้งประเทศ

เหมือนอาเพศ ดาวมฤตยูชนดวงเมือง

จากที่มีโจทย์เศรษฐกิจยากๆให้แก้อยู่แล้ว เจอปัญหาร้อนแทรกซ้อนมาซ้ำ ทำให้ต้องหาทางแก้กันหัวปั่น โดย พล.อ.ประยุทธ์หารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ สั่งการผ่านนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง

เตรียมแผนสำรอง รองรับงบประมาณปี 2563 ล่าช้า

ประคองภาวะตื่นตระหนก ผวาชัตดาวน์งบประมาณ ตามรูปการณ์เหลือแค่ครึ่งปีหลังในการอัดฉีดงบกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ยังไงก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยากจะโงหัว

เสียหายระดับนี้ ถ้าไม่มีมาตรการลงโทษขั้นเด็ดขาดกับ ส.ส.ไร้ความรับผิดชอบ

ระบบวิป การคุมพรรคร่วมรัฐบาลเละแน่

และอย่างที่เห็นการยกระดับความเฮี้ยวของยี่ห้อประชาธิปัตย์เล่นบท “รัฐบาลอิสระ”

ชนดะไม่สนใครเป็นใครในพรรคร่วมรัฐบาล

ขณะที่คนยี่ห้อภูมิใจไทยก็ไม่ได้อินังขังขอบกับการเดินตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่เน้นต่อยอดจากที่รัฐบาล “ประยุทธ์ ภาคแรก” ได้วางรากฐานไว้

ฉาบฉวย หาเสียง ตุนเสบียง เตรียมพร้อมเลือกตั้ง

โดยพฤติการณ์เทียบกับเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาลแลกกับกระทรวงเกรดเอ ประชาธิปัตย์ได้คุมกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภูมิใจไทยยึดกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวฯ

สร้างปมขบเกลียวทีมเศรษฐกิจ เหลือแค่กระทรวงการคลังเดินได้ขาเดียว

ที่สำคัญในการประชุม ครม.ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งรองนายกฯสมคิดนั่งแท่นคณะกรรมการขับเคลื่อนการเจรจาการค้าและการลงทุน มีอำนาจสั่งการเร่งลงทุนโครงการใหญ่ในกระทรวงคมนาคม และการเจรจาการค้าของกระทรวงพาณิชย์ที่ภาคการส่งออกแทบไม่เดินหน้า

มันคือสถานการณ์ที่สะท้อนความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นแล้วจากการแบ่งงาน โดยแจกเค้กให้พรรคร่วมรัฐบาลแลกกับเสียงหนุนโดยไม่มองเรื่องการขับเคลื่อนเนื้องาน

สถานการณ์ถึงจุดท้าทาย วัดภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์

ไฟต์บังคับต้องยกระดับการบริหารทั้งในมิติของเนื้องานรัฐบาลและเกมคุมเสียงในสภา

เลิกกล้าๆกลัวๆ ปรับเป็นปรับ เปลี่ยนเป็นเปลี่ยน

ออกเป็นออก ยุบเป็นยุบ

เพราะด้วยสภาพรัฐบาลเรือเหล็กแฝงสนิมเนื้อใน ขืนตื้อ ยื้อลากถูลู่ถูกังไป

คนที่เสียหายมากสุดก็หนีไม่พ้น “บิ๊กตู่” เอง

เครดิตที่สั่งสมมา 4–5 ปีไม่เหลือแน่.

"ทีมการเมือง"