ไปตายเอาดาบหน้า!

ถ้าจะเอาความจริงของรัฐบาลชุดนี้มากล่าวถึงคำตอบมันไม่น่าจะต่างไปจากที่จั่วหัวเอาไว้นั่นแหละครับ...

หรือให้กระชับขึ้นมาหน่อยก็คือขอให้ตั้งรัฐบาลได้ก่อนเท่านั้น

“รัฐบาลผสม” ที่เกิดขึ้นนั้นมีความต่างไปจากรัฐบาลผสมชุดที่ผ่านๆมา เพราะมีพรรคการเมืองเข้ามาร่วมกว่า 18 พรรค

เล็กบ้างใหญ่บ้างกลางๆก็มีจึงกลายเป็นรัฐบาลร้อยพ่อพันแม่ ใครเป็นนายกฯ ใครเป็นผู้จัดการรัฐบาลคงปวดหัวไม่น้อย

เพราะคิดว่ามี “น้ำมันหล่อลื่น” เต็มบ่อจะเอาอยู่คงไม่เป็นอย่างนั้นแน่

การบริหารจัดการต้องดีพอ การสร้างบารมี หรือให้การยอมรับก็มีความจำเป็น การประสานงานทั้งในพรรคแกนนำและพรรคร่วมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง

ความจำเป็นที่จะต้องทำงานเป็น “ทีม” จึงเป็นปัจจัยที่จะขาดไม่ได้ เปรียบไปก็ไม่ต่างไปจากกีฬาฟุตบอลก็ทำนองนั้น

มีอำนาจมีบารมีอย่างเดียวคงไม่พอที่จะนำพารัฐบาลไปได้ก็คงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ยิ่งการเมืองในยุคสมัยนี้ต่างก็รู้เท่ารู้ทัน

ปัญหาของประเทศ ณ เวลานี้มีอยู่มากมายก่ายกอง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ความขัดแย้งที่ยังดำรงอยู่ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ๆทั้งนั้น

ดีที่ฝ่ายค้านมีปัญหาภายในไม่ว่าจะเป็นเพื่อไทย อนาคตใหม่ต่างก็ดำรงสภาพที่เห็นกันอยู่ แต่มองไปทางไหนรัฐบาลก็ง่อนแง่นไม่สามารถตั้งลำได้อย่างที่ควรจะเป็น

เสียง “ปริ่มน้ำ” นั้นด่านหนึ่งอาจจะมองว่าเป็นเรื่องดีเพราะทำให้ทุกคนมีความรับผิดชอบร่วมกัน แต่ก็มีตัวแปรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง

“สภาล่ม” ก็เกิดมาแล้วเนื่องจากฝ่ายรัฐบาลเองไม่ใช่ฝ่ายค้านแต่อย่างใด นอกจากไม่มาร่วมประชุมแล้วพวกเดียวกันก็ยังไปยกมือให้ฝ่ายค้าน

...

นี่เป็นสัจธรรมทางการเมืองก็ว่าได้เมื่อเกิดความคิดต่างมองคนละมุม

ยิ่งพลังประชารัฐซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลยังไม่สามารถกุมสภาพได้อย่างเต็มไม้เต็มมืออันเนื่องมาจากความไม่เป็น “เอกภาพ” ภายใน

ไม่รู้ว่าใครใหญ่ใครเล็กจริงๆ

หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคแม้จะมีความรู้ความสามารถ แต่ความเชี่ยวชาญทางการเมืองยังถือว่าด้อยประสบการณ์ การยอมรับภายในพรรคจึงไม่เต็มร้อย

แล้วจะไปสร้างความยอมรับจากพรรคร่วมรัฐบาลจึงเป็นไปได้ยาก

การแสดงความเป็นตัวตนไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่มีต่อนักการเมืองจึงเป็นเพียงภาพลักษณ์เท่านั้น

เมื่อจะเข้าสู่การเมืองก็ต้องแสดงบารมีให้ปรากฏ อย่ามาเหนียมอายเหมือนกับไม่กล้าแสดงตัวให้กลมกลืนไม่ได้แล้ว

การที่จะให้การยอมรับจากนักการเมืองก็ต้องเข้าไปคลุกคลีสร้างความเชื่อมั่นเชื่อถือจึงเป็นเรื่องที่จะต้องให้ความสำคัญด้วย

พูดอยู่ข้างนอกพูดได้ แต่ไม่ต่างไปจากทะลุหูซ้ายออกไปทางหูขวา

การกระทำเท่านั้นที่จะสร้างความยอมรับด้วยการเข้าไปให้เต็มตัวดีกว่าทำตัวอยู่ “นอกพรรค” อย่างที่เป็นอยู่

สภาพภายในรัฐบาลและพลังประชารัฐจึงมีปัญหาเพราะนักการเมืองนั้นครบเครื่องอยู่แล้วเพียงแต่จะต้องซื้อใจพวกเขาให้ได้

พูดตรงๆเลยว่าต่างคิดว่าผู้มีบารมีไม่ต่างกับเกลียดปลาไหลแต่อยากกินน้ำแกง.

“สายล่อฟ้า”