ผ่าสถานการณ์รัฐบาล “เผชิญศึก” การเมือง-เศรษฐกิจ
หนาวสลับฝน ฝนสลับร้อน เมืองไทยยังอยู่ในห้วงอากาศแปรปรวน
ภายใต้ฉากปั่นป่วนวุ่นวาย ในจังหวะสภาเปิด ประชุมสมัยสามัญทั่วไป เวทีเปิดกว้างให้ท่านผู้ทรงเกียรติได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ โชว์เพาเวอร์กันเต็มอัตรา
สถานการณ์แบบที่ล่อกันนัว จับคู่โซ้ยกันมั่วไปหมด
ไล่ตั้งแต่ฉาก “ตลาดแตก” คิวซดกันมันหยดในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนฯ ระหว่างมวยรุ่นเดอะระดับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ
ปะฉะดะกับรุ่นลูกอย่าง “น้องเอ๋” น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี “ตัวจี๊ด” ที่ทีมพลังประชารัฐสลับฉากส่งมาประกบความร้อนแรงของ “เสรีพิศุทธ์” พร้อมกับนายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. ยี่ห้อ พปชร.
ล่อกันลั่นห้องประชุม ล้งเล้งออกมาข้างนอก คนหนึ่งบอกไม่ให้ราคาพวกสวะ อีกฝั่งสวนกลับ คนนั่งประธานอารมณ์แปรปรวนเหมือนผู้หญิงมีรอบเดือน
ห้องประชุมคณะกรรมาธิการปราบทุจริตฯเหมือนตลาดสด
แหล่ง “ปล่อยของ” ระบายอารมณ์แค้นฝังใจ ในสถานการณ์วนอยู่กับหนังม้วนเก่า ย้ำคิดย้ำทำ กับการเรียก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เคลียร์ปมถวายสัตย์ พ่วง พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ แจงปมนาฬิกา
ส่อลามถึงเกมดวลอำนาจ ฟัดกันด้วยกฎหมาย เดิมพันถึงคุก
ขณะที่ลูกติดพันคิวของ “น้องเอ๋” คนดัง ยังพ่วง ด้วยปมที่ดินโรงเลี้ยงไก่ที่ถูกแฉการครอบครองไม่ถูก กฎหมาย เป็นจังหวะที่โดน “ย้อนศร” จากการที่ “ตัวจี๊ด” ทีมพลังประชารัฐ ออกมาเปิดปมแฉประจานที่ดินแปลงปัญหาของมารดานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี
...
ระเบิดลามปมถือครองที่ดิน ส.ส.ทุกค่ายส่อโดนรื้อกระจาย
เช่นเดียวกับคิวของนายสิระ ก็ยังมีช็อตนัวเนียกับนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ว่าด้วยรายการแย่งตีตราจองเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ระหว่างคนของยี่ห้อประชาธิปัตย์กับทีมงานพลังประชารัฐ
ฟัดกันแผลเหวอะหวะ เปรียบกันเป็น “หมา” ตั้งท่าฟ้องหมิ่นประมาทรกตีนโรงตีนศาล
ดีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม รับบทกาวใจ ประสานให้ทั้งคู่จับไม้จับมือยอมความกันไป
แต่ส่อไม่ยอมความกันง่ายๆ กับช็อต “เล่นแรง” ปะทะ “เล่นใหญ่” รายการเปิดศึกระหว่างค่ายภูมิใจไทยที่กดปุ่ม ส.ส.เขตและ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เดินหน้าไล่ฟ้อง คดีหมิ่นประมาทกับสื่อมวลชนบางสำนัก ลุยแจ้งความสถานีตำรวจในทุกจังหวัดที่มีผู้แทนราษฎรอยู่
แฝงอารมณ์หมั่นไส้ แสดงให้รู้เลยว่าต้องการ “สั่งสอน”
ชนวนจากปมขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในมุมที่ผู้มีบารมีเหนือพรรคภูมิใจไทยไม่พอใจที่สื่อสำนักดังกล่าว เปิดมุมวิเคราะห์แนวแฉประจานนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย
เหมือนลาก “ขึงพืด” ให้ฝ่ายค้านเชือด
และยิ่งเร้าจุดเดือด สื่อสำนักดังก็เปิดเกม “จัดหนัก” สวนหมัดแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ด้วยการประกาศตัวเป็นช่องทางในการรับร้องเรียนพฤติการณ์ฉาวๆของคนพรรคภูมิใจไทย
เปิดแนวรบปูพรมกระแส ถล่มทุกช่วงรายการข่าว
แล้วก็ตามฟอร์มลามเป็นปมการเมือง ในอารมณ์ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ประกาศพร้อมถอนสมอ พูดลอยๆให้คนคิดตาม พรรคร่วมรัฐบาลต้องเกรงใจกัน
โบ้ยเป็นเกมแซะเก้าอี้ รมว.คมนาคมของนายศักดิ์สยาม
ประกอบกับความเคลื่อนไหวของพรรคเล็ก 4–5 พรรค ก็รวมพล “ส.ส.ปัดเศษทศนิยม” เคลื่อนไหวแสดงพลัง ประกาศท่าทีพร้อมโหวตสวนรัฐบาลในคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ในเหลี่ยมที่โดนจับไต๋ ปั่นราคา ลิงได้จังหวะต่อรองขอกล้วย
โดยสถานการณ์ไหลรวมกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน กระแสลามไปถึง “บิ๊กตู่” โดนตั้งคำถามถึงความระหองระแหงในพรรคร่วมรัฐบาล อาจกระทบถึงคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ในอารมณ์ที่ “บิ๊กตู่” บอกปัด ไม่มีแรงกระเพื่อมในพรรคร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด
และอีกทางก็มีข่าววงในคนใกล้ชิดนายกฯ สั่งจัดคิว “มีตติ้ง” นัดสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาลก่อนศึกซักฟอก
ฝ่ายค้าน รัฐบาล ล่อกันน้ำกระจาย
แต่โดยเนื้องานตามญัตติในสภาแล้ว แทบไม่มีอะไรคืบแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามกับอาการขยับนอกสภา กับอีเวนต์ “อยู่ไม่เป็น” ที่ทีมงานค่ายอนาคตใหม่ ตีปี๊บปลุกกองเชียร์เร้าเกมมวลชน ในจังหวะล้อไปกับคิวที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิพากษาคดีหุ้นวี–ลัค มีเดีย
ชี้ชะตา “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อยู่หรือไปในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้
เป็นช็อตที่ฝ่ายความมั่นคงเกาะติดทุกฝีก้าว แบบไม่กะพริบตา
อุณหภูมิการเมืองอยู่ในภาวะ “อุ่นเตา” เร้าไฟ
แต่ที่ตีคู่มาเลย และส่อแรงแซงหน้าก็คือ “สัญญาณอันตราย” ด้านเศรษฐกิจ
โดยสถานการณ์แรงกระแทกจากภาวะสงครามการค้า เศรษฐกิจสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ประกอบกับคลื่น “ดิสรัปชัน” เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดิจิทัลกลืนกินระบบเก่า
“เถ้าแก่โบราณ” ปรับตัวตามไม่ทัน ล้มหาย ตายจากแบบรายวัน
ตามข่าวปิดโรงงาน เลิกจ้างกะทันหัน คนตกงานเพิ่มขึ้นทุกขณะ
ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติเปิดตัวเลขอัตราการว่างงาน เฉพาะปีนี้อยู่ที่ 3.5 แสนกว่าคน ยังไม่นับ รวมบัณฑิตที่กำลังจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในปีหน้าอีก 1.5 แสนคน
ตัวเลขกลมๆพุ่งไปแตะ 5 แสนกว่าคน
โดยสถานการณ์ถึงจุดที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ต้องกระโดดมาเป็นตัวช่วยประคองสถานการณ์
จัดงบฯ 8,600 ล้าน เปิดโครงการแก้วิกฤติว่างงาน ทั้งโปรเจกต์ “ยุวชนสร้างชาติ” รับบัณฑิต ตกงานกว่า 5 หมื่นคนไปเป็น “บัณฑิตอาสา” ทำงานกับชาวบ้านตามพื้นที่ต่างๆเป็นเวลา 1 ปี เงินเดือน 15,000 บาท โครงการ “นักศึกษาอาสาประชารัฐ” ให้นักศึกษาปีสุดท้ายไปทำงานสนับสนุนภาครัฐ 1 ภาคการศึกษา เทียบโอนเป็นหน่วยกิตได้ แถมค่าเบี้ยเลี้ยง 5,000 บาท
มาตรการฉุกเฉิน บรรเทาปัญหาการว่างงาน
ตามรูปการณ์รัฐบาลโดยทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่เกาะติดภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ต้องรีบประคองภาวะ “เตะฝุ่น” ก่อนจะบานปลายไปสู่ปัญหาการขาดรายได้ภาคครัวเรือน
ยกระดับปมปากท้องเข้าขั้นวิกฤติ
แต่อย่างที่รู้กัน โดยสถานะของ “สมคิด” ในรัฐบาลปัจจุบัน ไม่ได้คุมทั้งนโยบายและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งระบบ เพราะหัวโต๊ะคือ “นายกฯลุงตู่” ในฐานะหัวหน้าทีม ครม.เศรษฐกิจ
อย่างดี “สมคิด” ก็ทำได้แค่ “ปล่อยของ” ผ่านกระทรวงการคลัง อัดมาตรการ “ชิมช้อปใช้” กระตุ้นการใช้จ่าย
“อัฐยายซื้อขนมยาย” ล่อใจให้คนควักกระเป๋าบรรเทาภาวะฝืดเคือง
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ภายใต้การกำกับของพรรคประชาธิปัตย์ ที่คุมภาคการส่งออกรายได้หลักประเทศ แต่แทบไม่มีแอ็กชันใดๆกับการรับมือกับแรงเหวี่ยงสงครามการค้า การจ่อตัดจีเอสพีของสหรัฐอเมริกา
เน้นแค่การอุ้มราคาสินค้าเกษตร ประกันราคายาง ปาล์ม มันสำปะหลัง ข้าว
แฝงเหลี่ยมหาเสียง ดึงฐานคะแนน เตรียมตัวเลือกตั้ง
ส่วนกระทรวงคมนาคมภายใต้การกำกับของพรรคภูมิใจไทย ก็มีแต่กระแสการยื้อเมกะโปรเจกต์ ปาดหน้าชิงเค้กกันระหว่างยักษ์ก่อสร้าง ทำให้การเดินหน้าโครงการใหญ่ล่าช้า
การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลงทุนขนาดใหญ่ไม่เดินหน้าตามแผน
เทียบกับรัฐบาล “ประยุทธ์ภาคแรก” ที่เบ็ดเสร็จ เนื้องานเดินหน้าเป็นเนื้อเป็นหนัง มาถึงยุครัฐบาลเลือกตั้ง สภาพรัฐบาลผสม การเมืองแชร์เค้กกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ
งานไม่เดิน ต่างคนต่างมุ่งตามธงพรรคใครพรรคมัน
แต่วันนี้สถานการณ์มาถึงจุดที่อันตรายจากภาวะเศรษฐกิจตีคู่มากับการเมืองรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ
ตามอารมณ์แบบที่ “บิ๊กตู่” พูดถึงสถานการณ์ต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลเป็นเชิงดักคอตีกัน ประเทศชาติอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน จะเดินเกมการเมืองกันอย่างเดียวก็ตามใจท่าน ประชาชนจะรู้เอง
“มาต่อรองอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว ไม่กังวลอะไรกับเรื่องเหล่านี้ ผมทำงานของผมให้ดีที่สุด แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องยอมรับมัน ประเทศก็ต้องรับไปด้วย ประชาชนก็เดือดร้อนไปด้วย รับไปด้วย ผมก็ทำของผมดีที่สุดแล้วแหละ”
ตีความจับสัญญาณ “ผู้นำ” รัฐบาล เหมือนส่งข้อความให้รู้ถึงจุดยืน
หากถึงจุด “หักดิบ” เกมต่อรอง
ตามเงื่อนไขที่เสี่ยงไม่ต่างกัน ในภาวะถ้าเสถียรภาพรัฐบาลแน่น พ้นภาวะเสียง “ปริ่มน้ำ” แต่การบริหารเศรษฐกิจติดล็อก สภาพรัฐบาลผสม ติดหล่ม ลามลึกถึงปัญหาปากท้อง
ประชาชนทนไม่ไหว รัฐบาลก็พังเหมือนกัน.
ทีมการเมือง