"นายกฯ" เรียกประชุมด่วนแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ขณะที่ "อธิบดีกรมควบคุมพิษ" เชื่อสถานการณ์ดีขึนใน 2-3 วันนี้ ด้าน "อนุทิน" ผุดไอเดียทำงานอยู่บ้าน หากสถานการณ์ฝุ่นอยู่ขั้นรุนแรง
เมื่อวันที่ 30 ก.ย.62 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ประชุมติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง pm2.5 พร้อมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังจังหวัดที่มีปัญหาในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
โดยนายประลอง ดำรงค์ไทย อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน จนค่า PM2.5 สูงเกินมาตรฐาน 15 พื้นที่ และขยายตัวเป็น 33 พื้นที่ในช่วงเช้าวันนี้ แต่ยืนยันว่าค่าที่เกินมาตรฐานยังไม่เป็นอันตรายสุขภาพ แต่อยู่ในขั้นเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ เพราะค่าเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรไปแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ค่าฝุ่นลดลงทุกพื้นที่ เพราะมีฝนตกลงมาช่วย ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่าช่วงนี้จะมีฝนตกลงมามากขึ้น คาดว่าปลายสัปดาห์นี้สถานการณ์ฝุ่นน่าจะกลบเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินมาตรการใดๆ
...
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า การเกิดฝุ่นละอองมีอยู่ 2 สาเหตุ คือ สภาพอากาศซึ่งเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และสิ่งที่เราควบคุมได้คือ การใช้ยานพาหนะโดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหา มีสัดส่วน 54% และการเผาไหม้ในที่โล่ง 35% ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรม และอื่นๆ สร้างฝุ่นละออง 3-5% เท่านั้น
นายประลอง กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมได้รับทราบแนวทางแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ที่จะมีแนวทางแก้ปัญหาใน 3 ระยะ คือก่อนเกิดวิกฤติ ช่วงเกิดเวิกฤติ และหลังวิกฤติ อาทิ การแก้ปัญหาในเชิงพื้นที่ กทม.หากค่าฝุ่นเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะเพิ่มจุดตรวจควันดำ จากเดิม 10 จุด เป็น 21 จุด และหากปริมาณฝุ่นเกิน 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ มีอำนาจตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข สามารถออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ประกาศปิดโรงเรียน 437 แห่ง เมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้ค่าฝุ่นลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยแผนดังกล่าวจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.รับทราบต่อไป
อย่างไรก็ตาม ถ้าอยากให้ปัญหานี้มันจบ คือต้องเลิกใช้รถยนต์ดีเซล ซึ่งก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก แต่ขอให้ตระหนักกับสถานการณ์ที่้เกิดขึ้น และสามารถติดตามค่าฝุ่นละอองได้ด้วยตัวเอง ผ่านแอปพลิเคชัน Air4Thai ที่จัดทำโดยกรมควบคุมมลพิษ
ด้านนางนฤมล ภิญโญสินวัฒ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯกำชับเรื่องการออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือใช้ชีวิตกลางแจ้ง ในช่วงที่มีฝุ่นมีฝุ่นละออง และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก คนชรา และผู้ป่วย ในเบื้องต้นหากปริมาณหน้ากากไม่เพียงพอ จะประสานกระทรวงสาธารณสุข นำมาแจกจ่าย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมตรวจสอบและควบคุมการใช้รถยานพาหนะที่ใช้น้ำมันดีเซลให้มาก เพราะปัญหาฝุ่นส่วนใหญ่เกิดมาจากการเผาไหม้ของน้ำมันดีเซล ซึ่งกระทรวงจะต้องไปตรวจสภาพความพร้อมของรถยนต์ หากพบว่ามีเขม่าสีดำเกินค่ามาตรฐาน ต้องดำเนินการจับกุมทันที ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลชาวบ้าน และประกาศค่าฝุ่นละอองให้ประชาชนได้รับทราบตลอดเวลา หากพบว่าเกินเกณฑ์มาตรฐาน ให้กำชับชาวบ้านระมัดระวังการใช้ชีวิตนอกที่อยู่อาศัย และหากเป็นไปได้จะใช้หน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นละออง ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนำหน้ากากอนามัยไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในพื้นที่ที่มมีปัญหา ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่าหากพบว่ามีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ก็อาจะต้องสนับสนุนหรือรณรงค์ให้คนทำงานอยู่ที่บ้าน เพราะทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว เราสามารถใช้เทคโนโลยีทำงานที่บ้านได้ พร้อมยืนยันปัญหาฝุ่น ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจนถึงขนาดป้องกันไม่ได้.