โฆษกประชาชาติ แนะทางเลือกให้ “ธรรมนัส” หนึ่งในนั้นคือลาออก ชี้ รัฐมนตรีต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้าม อาจทำรัฐธรรมนูญมัวหมอง เผย ควรใช้โอกาสนี้กระชากหน้ากากคนใส่ร้ายเพื่อซักฟอกตัวเอง
นายสุพจน์ อาวาส โฆษกพรรคประชาชาติ ระบุว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถูกสื่อหลักของออสเตรเลีย ระบุถึงการติดคุกและมีส่วนเกี่ยวข้องยาเสพติด ว่า มี 2 ทางเลือกคือ 1. ลาออกเพื่อพิจารณาตนเองและทำตนให้เป็นแบบอย่างของสังคม หรือ 2. ขอเพิ่ม และให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่งตั้งให้ไปคุมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. เพราะมีประสบการณ์จากต่างประเทศ และถือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เหมาะสมกับตำแหน่ง หรือไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเดิม ทั้งยังระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ กำหนดมาตรฐานคนดีต่ำ และการแต่งตั้ง ร.อ.ธรรมนัส เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ย้อนแย้งกับความรู้สึกของประชาชนและสังคม ขัดกับลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (10) เพราะเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิด ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด เป็นทั้งรัฐมนตรี ส.ส. และผู้สมัครรับเลือกตั้งมิได้ รวมถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรี ตามมาตรา 160 (6) รัฐมนตรีต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 98 คือสมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ เป็น ส.ส.ไม่ได้ เป็นรัฐมนตรีก็ไม่ได้ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นเกียรติภูมิของชาติ อีกทั้งจะทำให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หมองหม่นและไม่สมราคาคุย คือไม่สามารถเป็นรัฐธรรมนูญที่ปราบโกงได้ตามความตั้งใจของ คสช. และ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งเป็นหัวหอกในการยกร่าง
...
พร้อมกันนี้ นายสุพจน์ ระบุด้วยว่า ปรากฏการณ์ ร.อ.ธรรมนัส หนักข้อกว่ากรณีของ นายณรงค์ วงศ์วรรณ พ่อเลี้ยงเมืองแพร่ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมถึงหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุดในปี พ.ศ. 2535 คือได้ ส.ส. มากที่สุดถึง 79 ที่นั่ง แต่หัวหน้าพรรคไม่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพียงเพราะสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) ว่าพัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติด จนเป็นผลและทำให้พรรคการเมืองพันธมิตร 5 พรรค ซึ่งประกอบด้วย พรรคสามัคคีธรรม พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคราษฎร และพรรคชาติไทย จำเป็นต้องถอดถอนชื่อ นายณรงค์ ออกจากระบบ และมีการเสนอชื่อ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน แต่ประชาชนกลับออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลต้องมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง และเกิดเหตุบานปลายจนลุกลามใหญ่โตและเป็นชนวนสำคัญของเหตุ “พฤษภาทมิฬ” ที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส อาจเป็นชนวนและทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เสื่อมทรุดและขาดความน่าเชื่อถือในสังคมโลก หรือสังคมคู่ค้าของไทย หรือ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรอให้สหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ ร.อ.ธรรมนัส ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ และมั่นใจว่าเมื่อถึงวันนั้นก็อาจจะสายเกินแก้ หรือเกินเยียวยา
“การฟ้องสื่อต่างชาติซึ่งเป็นสื่อหลักถือเป็นการเล่นกับไฟ เพราะ 1. สื่อต่างชาติมีเสรีภาพสูง 2. ร.อ.ธรรมนัส เคยยอมรับติดคุก 3. ความผิดข้างต้นเป็นความผิดที่เกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักรไทยและใช้กฎหมายออสเตรเลีย หรือ มิได้เป็นความผิดตามกฎหมายไทย 4. หาก ร.อ.ธรรมนัส มั่นใจว่าไม่ผิด หรือไม่เป็นไปตามข้อกล่าวหาก็ต้องรีบฟ้องหรือดำเนินคดีแก่สื่อหลักของออสเตรเลียตามที่ระบุให้รู้ดำรู้แดง 5. สื่อนอกมิได้ให้ราคาและมีความยำเกรง ร.อ. ธรรมนัส แต่เพียงน้อยนิด และ 6. ถ้าฟ้องก็ขอให้ไปฟ้องที่ประเทศออสเตรเลียและไม่ต้องฟ้องที่ประเทศไทย เนื่องจากศาลไทยมีอำนาจเขตบังคับเฉพาะในราชอาณาจักร นอกจากนี้ ขอให้ ร.อ.ธรรมนัส ระบุชื่อฝ่ายตรงกันข้ามที่เป็นกลุ่มเก่า หรืออยู่เบื้องหลังให้ชัดเจนเพราะจะได้มีการกระชากหน้ากากไอ้โม่ง หรือบุคคลที่อยู่เบื้องหลังที่มุ่งให้ร้ายป้ายสีออกมาเปิดเผยต่อสังคมให้เป็นเชิงประจักษ์ เพื่อจะได้ฟอกขาว ร.อ.ธรรมนัส ไปในตัว”