ส.ส.ท่านใดจะอภิปรายในประเด็นถวายสัตย์ปฏิญาณต้องรับผิดชอบตัวเอง
เตือนนิ่มๆสไตล์ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ระบุถึงการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นำคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ส่อขัดรัฐธรรมนูญ
แปลความตามสัญญาณ ระวัง “ล้ำเส้น” เขตแดนมิบังควร
อีกทั้งจับทางจาก รมช.เกษตรฯที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ประเด็นถวายสัตย์ฯ เป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ทางพรรคพลังประชารัฐคงไม่เข้าไปก้าวล่วงในการชี้นำศาล และฝ่ายค้านเองน่าจะนำกลับไปคิดให้ดี ว่าการอภิปรายจะเป็นการหมิ่นศาลหรือชี้นำศาลหรือไม่ ต้องระวังข้อกฎหมาย
คอนเฟิร์มเลยว่า เรื่องนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี คงได้ชี้แจง
มันคือการเปิดโพย “มวยแทน” แผนให้ “เนติบริกร” เป็นหลักในการรับมือศึกอภิปรายทั่วไป
ในฐานะ “วิษณุ” เป็นกูรูผู้รู้ดีทั้งในแง่กฎหมายและจารีตประเพณี
ประกอบกับท่าทีของ “บิ๊กตู่” ภายหลังจากที่อัญเชิญพระราชดำรัส ลายพระราชหัตถ์
ในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ใส่กรอบไว้เป็นสิริมงคล และเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติงาน
พยายามเลี่ยง ไม่ตอบคำถามปมถวายสัตย์ฯ
ในอารมณ์วอนสื่อและสังคมหยุดล้ำเส้นประเด็น “อ่อนไหว”
นายกฯเล่นบท “ตีกรรเชียง” เบี่ยงตัวหลบมาตลอด มันก็ไม่น่าแปลกแต่อย่างใด ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ชี้แจงการอภิปรายปมถวายสัตย์ฯในสภา ในเมื่อรู้ดีว่าเป็นแค่เวทีเตะฟรีคิก ตามฟอร์มพรรคร่วมฝ่ายค้านรอถล่ม รุมด่าตีกินฟรี
...
แต่สุดท้ายก็จบแบบไม่มีการลงมติ ไม่มีผลต่อการอยู่หรือไปของรัฐบาล
จุดที่ต้องลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงายมันอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญต่างหาก
ตามมุมทางการเมืองก็ลากกันไปลากกันมา ตีกินกระแส เล่นแง่กฎหมาย
สรุปไม่มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม มันกลับเป็น “ตุ้มถ่วง” ทำให้รัฐบาล “ประยุทธ์ ภาค 2” เดินหน้าบริหารได้ไม่เต็มสูบ
ต้องพะว้าพะวังกับปม “กิ้งกือตกท่อ”
ขณะที่ปัญหาฉุกเฉินเฉพาะหน้าก็ถาโถมเข้าใส่แบบไม่ทันหายใจหายคอ แบบที่พายุ “โพดุล” ยังไม่ทันจาง หันมาอีกทางพายุ “คาจิกิ” จ่อถล่มต่อ ซ้ำวิกฤติอุทกภัยภาคอีสานและอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง
สถานการณ์พลิกตาลปัตรจากภัยแล้งเป็นน้ำท่วมใหญ่
กดทับภาวะเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสจากสงครามการค้าโลกอยู่แล้ว อาการยิ่งร่อแร่
และนั่นก็เป็นมุมบวกกับ “บิ๊กตู่” มันทำให้เกิดภาวะ “กระแสดีดกลับ” เครื่องหมายคำถามย้อนไปถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ดาหน้าขย่มรัฐบาล เขย่ากระแสแก้รัฐธรรมนูญ ไล่ขยี้ปมถวายสัตย์ฯ
จ้องเตะตัดขารัฐบาล โดยไม่สนบ้านเมืองหน้าสิ่วหน้าขวาน
ตามรูปการณ์ถือว่าเข้าทาง ในจังหวะที่นายกฯรีบขนทีมหางเครื่องชุดใหญ่ลงตรวจพื้นที่อุทกภัยในจังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดสุโขทัย ซื้อใจชาวบ้านผู้ประสบภัยแบบทันท่วงที
“บิ๊กตู่” ใช้มุมบริหาร “เด้งเชือก” หลบแรงกระแทกเกมการเมืองของฝ่ายค้านได้เนียนๆ
4-5 ปี เรียนรู้เคล็ดวิชานักการเมืองมาเยอะ เอาตัวรอดได้ไม่ยาก
ที่ยากกว่าก็คือโจทย์ “ปราบเซียน” เรื่องใหญ่ที่ส่อเค้าบานไม่หุบ
ล่าสุดนายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ออกมาให้ความเห็นกรณีข้อพิพาทระหว่างโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ กับ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. เกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัยทางการบิน เนื่องจากโครงการของเอกชนตั้งอยู่ใกล้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ชี้ชัดหวั่นเกิดโศกนาฏกรรมใหญ่ ที่สำคัญองค์การการบินระหว่างประเทศ (ICAO) เคยแจกใบเหลืองและใบแดงให้ประเทศไทยในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยการบิน ทำให้สูญเสียรายได้นับแสนล้านบาท
โดย คสช.ต้องเร่งออกกฎหมาย จนแก้สำเร็จมาในรัฐบาลที่แล้ว
แต่แนวโน้มปัญหาความขัดแย้งระหว่าง ทอท.กับสิ่งปลูกสร้างของเอกชนที่เป็นปัญหาระดับประเทศและอาจลุกลามไปยังต่างประเทศ ในปัญหาความปลอดภัยทางการบิน หากเกิดความไม่ปลอดภัยหรือเกิดอุบัติเหตุเที่ยวบินขาลงจะเกิดโศกนาฏกรรม
สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติ
ระดับผู้พิพากษาใหญ่กระตุกทั้งรัฐบาล กระทรวงคมนาคม ทอท.ทำไมเงียบไป
งานนี้ต้องมีผลได้เสีย ไม่จบแบบหยวนๆแน่.
ทีมข่าวการเมือง