โจทย์เฉพาะหน้าโผล่ให้แก้จนหัวหมุน

ปรากฏการณ์ข้าวเหนียวราคามหาโหด ดีดตัวขึ้นไปร่วม 50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 25-30 บาทต่อกิโลกรัม ทะยานไปเกือบเท่าตัว

หรือตกตันละเกือบ 50,000 บาท

สูงกว่าราคาทองคำ แพงที่สุดเป็นประวัติการณ์

อันเป็นผลกระทบมาจากภาวะภัยแล้ง และชาวนาหันไปปลูกข้าวหอมมะลิมากขึ้น แถมยังเจอเล่ห์เหลี่ยมของพ่อค้ากักตุนผลผลิต ซ้ำเติมปัญหาให้รุนแรงมากขึ้น

แม้จะเป็นหน้าที่หลักแก้ปัญหาโดยตรงของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะลามไปเข้าเนื้อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องร่วมรับผิดชอบในฐานะหัวหน้ารัฐบาล พ่วงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

ต้องสั่งการกลางที่ประชุม ครม.ให้เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน ตามที่กรมการค้าภายในเตรียมทำข้าวสารเหนียวบรรจุถุงขายราคาถูก บรรเทาความเดือดร้อนผู้บริโภคเฉพาะหน้า

เร่งหยุดวิกฤติข้าวเหนียวราคาแพงกว่าทองคำ

ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจขาลงไม่ให้หนักหนาสาหัสเพิ่มขึ้น อย่างที่เห็นความพยายามเข็นสารพัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถี่ยิบ

ล่าสุด ครม. เพิ่งอนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวและปาล์มน้ำมัน ปี 2562-2563 วงเงิน 34,873 ล้านบาท ตลอดจนการอนุมัติโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตข้าวนาปี ฤดูกาล 2562-2563 ให้ชาวนาไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ วงเงิน 25,000 ล้านบาท

เทกระจาดงบฯร่วม 60,000 ล้านบาท บรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในภาวะข้าวและปาล์มราคาตกต่ำ

ตามมาติดๆกับการรอเคาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาคทั้งการผลักดันการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง การออกมาตรการสนับสนุนการลงทุน และการวางแผนจัดเก็บภาษีให้เป็นไปตามเป้าหมาย

จัดแคมเปญชุดใหญ่ไว้พร้อม เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจระดับบนอีกทาง

...

ต่อเนื่องจากการหมุนวงล้อเศรษฐกิจระดับฐานรากไปก่อนหน้านี้ อาทิ แจกเงินท่องเที่ยวคนละ 1,000 บาท และการเพิ่มเงินให้เปล่าในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีกคนละ 500 บาท

แม้จะมีบางพวกนำเงินบัตรช่วยคนจนไปใช้ผิดประเภท กดเงินไปซื้อเหล้าเบียร์ แต่นั่นก็เป็นเพียงคนส่วนน้อยที่ทำให้เกิดภาพลบ จะไปเหมารวมกล่าวโทษรัฐบาลหว่านเงินสะเปะสะปะก็คงไม่ถูก เพราะหลายคนก็นำเงินไปใช้จ่ายลดภาระค่าครองชีพอย่างถูกทาง

โจทย์ยากด้านเศรษฐกิจยังมีมาต่อเนื่อง “ลุงตู่” และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ต้องตามแก้มือเป็นระวิง และมีแนวโน้มต้องตามแก้อีกเยอะ

ประคับประคองและปั๊มชีพจรเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัว ในช่วงที่กำลังซวนเซจากสงครามการค้าโลกระหว่าง 2 ขั้วมหาอำนาจ “สหรัฐอเมริกา-จีน”

ต้องตามลุ้นกันอีกหลายยก จะขยับเส้นกราฟเศรษฐกิจให้เชิดหัวขึ้นได้หรือไม่

พอๆกับสถานการณ์การเมืองที่ยังต้องเหนื่อย ตามช็อตคาราคาซังเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ของ “ลุงตู่” ตามทิศทาง

ล่าสุดที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดขั้นตอนสุดท้าย

เรือเหล็กยังเสี่ยงอับปางได้ตลอด ตามสภาพโคลงเคลง ยังตั้งหลักทำงานจริงๆจังๆไม่ได้ มีประเด็นเสียวไส้เรื่องเทคนิคข้อกฎหมายอยู่ตลอด

ฝ่ายค้านยังตามขยี้ปมถวายสัตย์ฯไม่หยุด ลับมีดรอซักฟอกรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติ จับ “บิ๊กตู่” ขึงพืดเคลียร์ความชัดเจนก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯในวันที่ 18 ก.ย.นี้

ดูแนวโน้ม “ลุงตู่” คงเลี่ยงบาลีที่จะไม่มาตอบข้อสงสัยลำบาก

ตามที่เจ้าแห่งหลักการอย่าง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร คอยตอกย้ำรุกเร้าให้ พล.อ. ประยุทธ์ต้องมาตอบคำถามด้วยตัวเองในฐานะต้นเรื่อง

รุ่นเล็ก รุ่นใหญ่รุมกดดัน “ลุงตู่” ทั่วสารทิศ ยังไงคงเบี้ยวไฟต์บังคับอีกต่อไปไม่ได้

ในภาวะที่ “นายกฯลุงตู่” เองก็เริ่มส่งสัญญาณไม่แหยงเวทีสภา ภายหลังเห็นทางเลี่ยงให้เปิดประชุมลับอภิปรายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ได้ ตามที่ “เนติบริกร” นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้ช่องให้

ไม่จำเป็นต้องประชุมลับม้วนเดียวจบ แค่อภิปรายแจกแจงพอเป็นพิธี อะไรสุ่มเสี่ยงไม่ควรพูด ก็เสนอให้ประชุมลับ

ได้ทางเบี่ยงมาช่วยไม่ต้องเจ็บตัวมาก ก็อาจไม่จำเป็นต้องหนีสภาให้เสียรังวัด

ที่ต้องลุ้นหนักจริงๆคือ ศาลรัฐธรรมนูญนั่นแหละด่านอันตรายของจริง.


ทีมข่าวการเมือง รายงาน