ใครไม่เป็น “พี่ใหญ่” คงไม่รู้ถึงหัวอกยามนี้
ในสถานการณ์ตามข่าวที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ต้องทั้งเฝ้าทั้งเยี่ยมไข้คนป่วยในโรงพยาบาลพร้อมกัน ทั้งมารดาวัย 98 ปี และน้องชายคือ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.ที่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำบาดเจ็บสมองบวม ไหปลาร้าร้าว
ขณะที่ตัวเองก็สุขภาพไม่เต็มร้อยเหมือนเก่า หลังผ่าตัดบายพาสหัวใจ
เรื่องสังขาร เจ็บป่วย หลีกเลี่ยงกันไม่ได้ อุบัติเหตุคาดไม่ถึง ก็ต้องส่งกำลังใจให้ พล.อ.ประวิตรในฐานะลูกที่รักกตัญญูห่วงใยแม่ และเป็นพี่ที่ทั้งรักและดูแลน้องอย่างดี
แต่สิ่งที่เลี่ยงได้ แต่ “พี่ใหญ่” เลือกที่จะกระโดดลงคลุกฝุ่น
กับการรับตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ประกาศเป็น “นักการเมืองอาชีพ” เต็มตัว
แถมยังแอ่นอก ประกันความชัวร์รัฐบาลอยู่ครบเทอม 4 ปี การันตีเลือกตั้งรอบหน้ายี่ห้อ พปชร.ต้องได้แต้ม ส.ส.ไม่ต่ำกว่าต้นทุนเดิม 116 ที่นั่ง
เล่นบท “เป้าล่อ” ทางการเมืองตั้งแต่วันแรกที่เข้าพรรค
และก็ตามฟอร์ม ยังไม่กี่อึดใจที่ “บิ๊กป้อม” ลุยคลุกฝุ่น ก็เจอรับน้องทันควัน
เริ่มจากขาเฮี้ยวอย่างนายวีระ สมความคิด นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กเหน็บ คนทั้งประเทศรู้กันมานานแล้วว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นของ “บิ๊กป้อม” ถึงเวลาจึงเปิดตัวแบบไม่อายใคร
ไล่ๆกันมาเลยกับคิวของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุงพรรคเพื่อไทย ฉวยเหลี่ยมอาศัยสถานะ “รุ่นพี่” ในวงการเมือง โชว์ฟอร์มเก๋าข่ม ยินดีต้อนรับน้องใหม่
“สอนมวย” ประธานยุทธศาสตร์ต้องคิดแก้ปัญหาประชาชน ไม่ใช่ตั้งเป้าหมายเอาชนะทางการเมือง
...
“ดักคอ” ตีกัน อย่าใช้งบประมาณของประชาชนไปตกปลาในบ่อคนอื่น
ดักเหน็บดักต้อน “พี่ใหญ่” กันครึกครื้นเลย แต่ทั้ง “วีระ” และ “เจ๊หน่อย” ยังมองได้ว่า เป็นแค่อารมณ์ของพวกหมั่นไส้ มีส่วนได้ส่วนเสีย
แฝงอคติกับ “บิ๊กป้อม” อยู่ในที
ถ้าไม่บังเอิญว่ามันก็มีผลเชิงวิชาการจาก “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สะท้อนตัวเลขประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 48.69 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยที่ พล.อ.ประวิตรนั่งเก้าอี้ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ
เพราะยังไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารงาน ควรวางมือปล่อยให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารแทน
กระแสสังคม เสียงประชาชนดังกว่าพวกแฝงเหลี่ยมการเมือง
แน่นอนยึดตามผลโพล ถ้า “พี่ใหญ่” เดินตามแผนนี้ อาจจะเหนื่อยกันทั้งทีมพลังประชารัฐ
ตามปรากฏการณ์แบบที่อะไรๆก็โยงเข้าหา “บิ๊กป้อม” หมด
ในจังหวะประเดิมเลยกับการเคลื่อนไหวของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ที่แจ้งยุบพรรคต่อ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมแสดงท่าทีชัด ทันทีที่ กกต.ประกาศยุบพรรคในราชกิจจานุเบกษา ก็จะเดินทางไปสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
โชว์ธง บอกเป้าหมายกันชัดๆ แบบไม่ขัดไม่เขิน
พรรคที่หาเสียงกับพระพุทธเจ้า โชว์ให้เห็นสัจธรรม “เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไป” แบบมาไวเคลมไว
แต่ปัญหาคือ ในทางปฏิบัติมันไม่ใช่ง่ายๆ
ตามข้อกฎหมายที่ลักลั่นมาตั้งแต่การนับปาร์ตี้ลิสต์สูตรพิสดารของพรรค “ต่ำเอี่ยว”
เบื้องต้นเลยกับเครื่องหมายคำถาม นายไพบูลย์จะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่เท่าใดของพรรคพลังประชารัฐ และจะมีปัญหาแน่ หากมีการเลือกตั้งซ่อมเกิดขึ้น ที่จะต้องคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งซ่อมภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2562
อาจถึงขั้นต้องระดมนักคณิตศาสตร์พลิกแพลงสูตรกันใหม่
แต่ที่คิดลึกไปกว่านั้น ตามฟอร์มพรรคร่วมฝ่ายค้าน แนวร่วมทีม “นายใหญ่” ดูไบ รีบดักคอเกม “1 แลก 50” วิเคราะห์ตีปี๊บดักทาง
หากกรณีของนายไพบูลย์เกิดพลิกผันเข้าล็อก “ทำลายตัวเอง” ถูกศาลรัฐธรรมนูญฟันธงสิ้นสภาพ ส.ส.เพราะไม่มีพรรค
สถานการณ์มันก็จะโยงไปถึงชะตาของพรรคอนาคตใหม่ที่กำลังลุ้นคดียุบพรรคจากสารพัดเงื่อนปม โดยเฉพาะ “เงินยืม” จาก “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ที่ยอมรับแบบเต็มปากเต็มคำ
ส่อทำให้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์พรรคสีส้มกว่า 50 คนส่ออันตรธานหายไป
มันจึงเป็นอะไรที่ฝ่ายค้าน แนวร่วม “ทักษิณ” ต้องตีปี๊บโหมกระแส แฉประจานฝ่ายคุมเกมอำนาจบิดเบือนเจตนารมณ์ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อเจตนารมณ์ของคนบางคนเท่านั้น
และคนคนนั้นก็หนีไม่พ้น “พี่ใหญ่” ที่ประกาศรัฐบาลครบเทอม 4 ปี.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน