พท.จ่อนำปม “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ยื่นยุบพรรคตัวเองถกวิปฝ่ายค้าน “ชลน่าน” ห่วงเพื่อนข้างบ้าน อนาคตใหม่กระทบเต็มๆหากถูกยุบพรรค “สุทิน” ผวา “ไพบูลย์ โมเดล” เข้าตามแผน “1 แลก 50” ให้คิดสูตรตัดต่อพันธุกรรมเอื้อบางพรรคได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มอีกหลายสิบที่นั่ง “เจ๊หน่อย” สั่งลุยตรวจสอบรัฐบาลเชิงรุก กระทุ้ง “บิ๊กป้อม” อยากช็อป ส.ส.ต้องควักกระเป๋าเอง อย่าเล่นแร่แปรธาตุงบฯ เศร้าข่าวคนฆ่าตัวตายเซ่นพิษเศรษฐกิจ พปชร.ออกโรงป้อง “บิ๊กป้อม” เจตนาดี “พุทธิพงษ์” ยัน รมต.ควบ ส.ส.ไร้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำ “ธนกร” ตอก “สุดารัตน์” ไปดูพรรคตัวเองดีก่อน โพลหนุนฝ่ายค้านเปิดซักฟอกปมถวายสัตย์ฯ ไม่เอาด้วย “ประวิตร” คุม พปชร. ฎีกาสั่ง “จตุพร-ณัฐวุฒิ-อริสมันต์” ร่วมชดใช้คดีเผา

การเดินเกมเติมจำนวน ส.ส.ให้พรรคพลังประชารัฐ ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป กลายเป็นประเด็นที่ต้องจับตา เมื่อพรรคเพื่อไทยมีการวิเคราะห์กันว่าอาจเป็น “ไพบูลย์โมเดล” เพื่อยุบพรรคอนาคตใหม่ แล้วให้ กกต.คิดสูตรตัดต่อพันธุกรรมเพิ่มจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้กับบางพรรคการเมืองได้

...

พท.ถกปม “ไพบูลย์” เททิ้ง ปชช.

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 25 ส.ค. ที่พรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป (ปชช.) ยื่นยุบพรรคตัวเองเพื่อย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ว่า อาจเป็นเรื่องที่ขัดรัฐธรรมนูญต้องคำนึงถึงกฎหมายด้วย วิปฝ่ายค้านจะนำเรื่องนี้ไปหารือในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ขณะที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การหารือของคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคในวันที่ 26 ส.ค.นี้ ว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และเห็นว่าต้องมีการตีความเรื่องกฎหมายทั้งการคำนวณคะแนน และการควบรวมพรรค เพราะขณะนี้มีการตีความข้อกฎหมายต่างกัน หากพบว่าเรื่องนี้ขัดรัฐธรรมนูญจะมีการยื่นเอาผิดต่อไป

“เจ๊หน่อย” ลุยตรวจสอบเชิงรุก

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต่อว่า ส่วนการทำงานของพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้จะทำงานตรวจสอบในเชิงรุก เป็นพรรคฝ่ายค้านที่ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง อะไรเป็นมาตรการที่เป็นประโยชน์เราจะสนับสนุน เช่น ฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย มาตรการนี้ออกมาได้แค่ไม่กี่วันก็ถูกรัฐบาลตีตกด้วยความคิดแบบอดีต โดยยกเหตุผลเรื่องความมั่นคง ทุกคนก็เป็นห่วง แต่ทุกวันนี้การรบกันเขาใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว ทำให้ประเทศได้รับเม็ดเงินด่วนเข้ามามาก จึงอยากให้รัฐบาลรับฟังเหตุผลของพรรคฝ่ายค้าน ส่วนการแจกเงินที่ให้คนรายได้น้อย ต้องทำให้มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ผ่านมือคนจนไปสู่เจ้าสัว

บอก “บิ๊กตู่” ยังไม่ชินไม่มี ม.44

เมื่อถามว่า ฝ่ายรัฐบาลอาจจัดเวลาให้พรรคฝ่ายค้านอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 กรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน เพียง 1 วัน คุณหญิงสุดารัตน์ตอบว่า อยากให้ดูที่เนื้อหา อย่าเอาเวลาเป็นตัวกำหนด ประเด็นนี้เราจะหาทางออกให้กับรัฐบาลในการแก้ปัญหาการถวายสัตย์ฯ ไม่ครบของรัฐบาล ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะไปไล่เขา จึงตอบไม่ได้ว่าเวลา 1 วันเพียงพอหรือไม่ ถ้าหารือกันแล้วเห็นทางออกร่วมกันครึ่งวันก็เพียงพอ เลขาธิการพรรคเพื่อไทยจะไปหารือกับวิปรัฐบาล ต่อไป นี่คือการหาทางออกด้วยวิธีทางสภาฯ พล.อ.ประยุทธ์อาจไม่ชิน เพราะก่อนหน้านี้เมื่อทำผิดรัฐธรรมนูญก็ใช้มาตรา 44 แก้ไขปัญหา แต่วันนี้ต้องใช้สภาแก้แทน

กระทุ้ง “บิ๊กป้อม” ควักกระเป๋าเอง

เมื่อถามถึงกระแสข่าว ส.ส.พรรคเพื่อไทยในภาคอีสานจะเป็นงูเห่าอีกหลายคน คุณหญิงสุดารัตน์ตอบว่า เรื่องนี้พูดกันมาตลอด ถือเป็นการเมืองแบบเก่าที่น่ารังเกียจ แพ้เลือกตั้งแล้วใช้อภินิหารจนได้เป็น รัฐบาล พอเสียงปริ่มน้ำก็ใช้ผลประโยชน์ทางงบ– ประมาณมาตกปลาในบ่อเพื่อน แต่การโหวตของฝ่ายค้านเสียงก็ครบทุกครั้ง หากจะมีงูเห่าก็ขอฝากไปผัดเผ็ดด้วยแล้วกัน กระแสข่าวการดูด ส.ส.เพราะวันนี้เขาคิดอย่างเดียวคืออยากจะอยู่ยาว กวาด ส.ส.ไปให้ได้มากที่สุดเพื่อความมั่นคงของรัฐบาล ด้วยการใช้งบประมาณรัฐบาล รวมถึงใช้องค์กรอิสระบางองค์กรมาบีบ หากประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐจะควักเงินตัวเองร้อยล้านพันล้าน คงไม่เป็นอะไร แต่อย่ามาใช้งบประมาณของแผ่นดิน เพราะงบประมาณแผ่นดินต้องตรวจสอบได้ อยากเตือนสติว่าสิ่งที่ทำให้รัฐบาลอยู่นานไม่ใช่แค่จำนวน ส.ส. แต่ขึ้นอยู่กับศรัทธาประชาชน ส่วนการสอบนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม และคณะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ไปให้การต้อนรับนายกฯได้พูดคุยกันแล้วเป็นแค่การไปสะท้อนปัญหาในพื้นที่ อาจเป็นกลอนพาไป

เศร้าข่าวฆ่าตัวจากพิษเศรษฐกิจ

วันเดียวกัน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวการฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจถึง 5 ข่าว เป็นเรื่องน่าเศร้า รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง ทั้งกับชะตากรรมของผู้เสียชีวิต และพี่น้องชาวไทยที่ยังต้องสู้กันต่อไป ขอให้กำลังใจ รู้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงที่ยากลำบากที่สุด โปรดอดทนและอย่าท้อ เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงปี 2540 หลังจากนั้นไทยรักไทยได้มาเป็นรัฐบาลโดยการนำของนายทักษิณ ชินวัตร และพี่น้องชาวไทยได้ร่วมแรงร่วมใจกัน จนเราฟื้นประเทศได้อย่างรวดเร็ว แต่วันนี้เราเดินย้อนกลับมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร รัฐบาลนี้ทำเหมือนความทุกข์ของประชาชนไม่ได้เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงเรื่องที่ฝ่ายค้านนำมาโจมตี และ พล.อ.ประยุทธ์ยังใช้วิธีเดิมที่ล้มเหลวมาตลอด 5 ปีมาทำต่อ การแจกเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เอาเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลมากระตุ้นเศรษฐกิจ แค่ผ่านมือคนจนแล้วไหลไปสู่กระเป๋านายทุนไม่กี่ราย

จี้ตั้งศูนย์ป้องกันคนฆ่าตัวตาย

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีทั้งปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ยกระดับเป็นสงครามค่าเงิน ซ้ำด้วยวิกฤติภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ หนี้ครัวเรือน ค่าครองชีพสูง ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวการฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจถึง 5 กรณี อยากทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ที่ผ่านมามีความพยายามจัดตั้งศูนย์ต่อต้านเฟกนิวส์เซ็นเตอร์ เมื่อเทียบกับปัญหาการฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจ รัฐบาลควรรีบตั้งศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจให้เป็นรูปธรรมโดยเร่งด่วน

“นคร” ฝากการบ้านถึงผู้ตรวจฯ

นายนคร มาฉิม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันที่ 27 ส.ค.นี้ ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาประเด็นการถวายสัตย์ปฏิญาณที่ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า จะมีมติอย่างใดหรือไม่ ขอฝากไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินให้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ และชั่งน้ำหนักให้ดีว่าผลได้กับผลเสียอย่างไหนมากกว่ากัน ที่สำคัญคือพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ และความศักดิ์สิทธิ์ของราชประเพณีการถวายสัตย์ฯจะถูกทำให้เซาะกร่อน และลดทอนลงไม่ได้

จัดให้แฟนคลับจับมือดาวสภาฯ

ช่วงบ่ายวันเดียวกันที่ห้องสมุดทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย มีการจัดกิจกรรม “จับมือดาวสภาฯเพื่อไทย” ได้แก่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด ที่มาร่วมพูดคุยกับแฟนคลับจำนวนมาก ช่วงแรกของกิจกรรมเป็นการเปิดโอกาสให้ดาวสภาฯแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำงาน พร้อมกับให้แต่ละคนบอกปูมหลังความเป็นมา

หวั่นปม “ไพบูลย์” กระทบไปทั่ว

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กล่าวว่า อยู่สภาฯไม่เคยเรียก พล.อ.ประยุทธ์ว่านายกฯ เพราะที่มาไม่ชอบ ส่วนตัวรู้สึกเวทนาที่ท่านไม่ยึดมั่นระบบรัฐสภา ยังใช้พฤติกรรมเหมือนทหารในค่าย เมื่อไม่รู้จักสภาฯเลยไม่รู้ระบบระเบียบ แต่สิ่งที่น่ากลัวคือเราอาจไม่รู้จักเขามากพอ อยู่ในสภาฯดูไปเหมือนแมวเชื่องๆที่ตลก แม้จะเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว แต่มักทำผิดบ่อยๆ อาจเพราะความเชื่อมั่นในตัวเอง อย่างกรณีการถวายสัตย์ฯทราบมาว่ามีการเตรียมแฟ้มคำถวายสัตย์ฯ ไว้ให้ แต่ยังไปหยิบสิ่งที่ตัวเองคัดย่อมาอ่าน เลยทำให้เกิดความผิดพลาด วันนี้มีกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ที่จะยุบพรรคตัวเอง เพื่อมาอยู่กับพลังประชารัฐที่ยังมีข้อสงสัยในข้อกฎหมายอยู่ แต่ส่วนตัวรู้สึกเป็นห่วงพรรคข้างบ้านเรา คือพรรคอนาคตใหม่ที่มี ส.ส. 81 คน หากถูกยุบพรรค คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่ออาจถูกนำมาคำนวณใหม่ และอาจทำให้บางพรรคได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นอีก 40 คน หากเป็นเช่นนั้นจริงเราจะยอมหรือ

อาจกระทบชิ่งถึงอนาคตใหม่

นายสุทิน คลังแสง กล่าวว่า กรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นการนำร่อง เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีคนนำประเด็นดังกล่าวไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ผลที่ออกมามี 2 ทาง คือ สามารถยุบพรรคประชาชนปฏิรูปได้ พรรคพลังประชารัฐเอานายไพบูลย์ไปอยู่ด้วยได้ อันนี้จะเป็นโมเดลให้พรรคเล็กอื่นนำไปใช้ แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกยุบไม่ได้ การเป็น ส.ส.ของนายไพบูลย์หลุดไปเลย และเมื่อหลุดเลยก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการยุบพรรคข้างบ้านเรา คือพรรคอนาคตใหม่ โดยที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดจะไปสังกัดที่ไหนไม่ได้เลย เรื่องนี้ต้องตามดูกันต่อไป จะเป็นการเอากรณีนายไพบูลย์ 1 คน ไปแลกกับอีก 50 คนหรือไม่ วันนี้สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ใช่ ที่ใช่อาจไม่เห็น อาจมีอะไรอำพรางอีกเยอะ แต่ไม่มีอะไรทำให้เรากลัว ต่อไปนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับการเมืองมันจิ๊บๆ “เมื่อก่อนมอง พล.อ.ประยุทธ์เป็นเสือเป็นสิงห์ แต่เท่าที่ลองประกันดู เป็นมดเป็นแมวมากกว่า เขาเก่งในที่มืด เก่งแต่ในกติกาของเขา”

ตอกลิ่มรอยร้าวพรรคร่วม รบ.

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ กล่าวว่า สิ่งที่เป็นห่วงในตัว พล.อ.ประยุทธ์คือเรื่องอารมณ์ การพูดการจาหลายครั้ง พูดเหมือน ส.ส.หรือคนฟังเป็นเด็กในโอวาท พรรคฝ่ายค้านพยายามอภิปรายสะท้อนให้เห็นในสิ่งที่คนใกล้ตัวท่านอาจไม่กล้าพูด 5 ปีที่ผ่านมามีแต่การอวยอย่างเดียว ในสภาฯพอพวกเราพูดถึงพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีใครลุกขึ้นประท้วง แต่พอพาดพิงนายชวนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นประท้วงกันพรึบ สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวบางอย่างในพรรคร่วมรัฐบาล พรรคเพื่อไทยจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นและสร้างสรรค์ ครั้งแรกที่เจอ พล.อ.ประยุทธ์ พอเห็นการชี้แจงแล้วรู้สึกสงสาร เพราะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารตัวเอง แต่ต้องพยายามแสดงศักยภาพ ทั้งที่ไม่ได้มีศักยภาพพอในการบริหารประเทศเลย

ผวาตัดต่อพันธุกรรมให้บางพรรค

นายสุทินให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยสื่อถึง “ไพบูลย์โมเดล” หากเป็นจริงขึ้นมาจะน่ากลัวมาก ถือเป็นการตัดต่อพันธุกรรมให้บางพรรค ซึ่งผิดหลักการประชาธิปไตยอย่างมาก เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ รวมทั้งสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพราะก่อนหน้านี้ กกต.ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ให้คุณต่อบางพรรคการเมือง สิ่งที่น่ากังวลหากเป็นไปตามคาดการณ์ จะถือเป็นการทำลายพรรคอนาคตใหม่ ที่จะยิ่งสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมรุนแรงมาก เป็นการทำลายระบบนิติรัฐนิติธรรมครั้งใหญ่ที่สุด เมื่อถามว่า หากเป็นตามที่วิเคราะห์จะยิ่งเป็นการเพิ่มช่องว่างต่อจำนวน ส.ส.ฝ่ายค้าน และรัฐบาลมากขึ้นไปอีกหรือไม่ นายสุทินตอบว่า ถ้าทำสูตรนี้สำเร็จ คาดว่าจำนวน ส.ส.รัฐบาลกับฝ่ายค้าน จะห่างกันถึง 20 เสียง เมื่อถามย้ำว่า หากเป็นแนวทางนี้ พรรคอนาคตใหม่คงต้องเตรียมพรรคสำรองเอาไว้ นายสุทินตอบว่า ไม่น่าจะทันอยู่ดี ไม่รู้ว่าวันนี้เขารู้หรือยังว่าอาจมีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นได้

พปชร.ป้อง “บิ๊กป้อม” เจตนาดี

ขณะที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงผลสำรวจความเห็นของสำนักโพลระบุว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปนั่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ว่า พรรคเห็นว่า พล.อ.ประวิตรเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีความเมตตากับ ส.ส. และมีความตั้งใจจริงที่จะช่วยสนับสนุนงานที่สามารถทำได้ ไม่มีเจตนาเข้ามาครอบงำ หรือยึดพรรค เชื่อว่า พล.อ.ประวิตรจะเข้ามาทำให้พรรคสมัครสมานสามัคคีมากขึ้น แม้ผลโพลระบุว่าประชาชนไม่เห็นด้วย แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความนิยมและคะแนนเสียงพรรค เมื่อประชาชนเข้าใจเจตนาดีของ พล.อ.ประวิตรแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้น มั่นใจว่าคะแนนนิยมในพรรคจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ

รมต.ควบ ส.ส.ไร้ปัญหาปริ่มน้ำ

นายพุทธิพงษ์กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. จะต้องลาออกจาก ส.ส.หรือไม่นั้น ส่วนตัวไม่ติดขัดว่าจะต้องลาออกหรือไม่ แต่รัฐมนตรีทั้ง 5 คนที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ตกลงกันแล้วว่าไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะมั่นใจจะสามารถทำงาน ควบคู่กันไปได้ ทั้งงานรัฐมนตรีและงานฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ผ่านมาการโหวตทุกครั้งก็อยู่กันครบ จะเห็นว่าทุกคนสามารถบริหารจัดการเวลาได้ เพียงแต่ต้องทำงานหนักขึ้น ขณะที่ พล.อ.ประวิตรพูดในที่ประชุมพรรค เพียงถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นโดยระบุว่าผู้ที่เป็นรัฐมนตรีและควบ ส.ส.ด้วย ต้องรับผิดชอบในการทำงานทั้ง 2 ส่วนด้วย แต่ท่านไม่ได้สั่งให้ลาออกแต่อย่างใด ส่วนการทำงานในกระทรวงดีอีพยายามเพิ่มมิติในการทำงานโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย เพราะที่ผ่านมา เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มักเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งสวนทางกับการค้าขายแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ การค้าขายออนไลน์ ฯลฯ ดังนั้น เราจึงนำเทคโนโลยีเข้าไปสนับสนุนให้กลุ่มคนเหล่านี้ ได้เข้าถึงการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น

โต้ “เจ๊หน่อย” ไปดูพรรคตัวเองดีๆ

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวตอบโต้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่พาดพิง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ว่า พล.อ.ประวิตรเข้ามาสร้างความเข้มแข็งเพื่อให้พรรควางยุทธศาสตร์ทำนโยบายให้กับประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น คุณหญิงสุดารัตน์น่าจะเข้าใจดีว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรทำงานหนักเคียงข้างนายกฯมาตลอด ควรเอาเวลาไปบริหารจัดการปัญหาภายในพรรคเพื่อไทยดีกว่า เพราะทราบว่ามีปัญหาภายในพอสมควร ขนาด ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ไปต้อนรับและเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ กลับถูกพรรคเพื่อไทยตั้งกรรมการสอบ เชื่อว่าชาวสุรินทร์จะยกย่องที่ท่านทำ ได้หัวใจชาวบ้านแน่นอน แม้จะไม่ถูกใจแกนนำพรรคเพื่อไทยก็ตาม

โพลหนุนฝ่ายค้านเปิดซักฟอก

วันเดียวกัน สวนดุสิตโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,184 คน เรื่องประชาชนคิดอย่างไร กรณีฝ่ายค้านยื่นซักฟอก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 77.20 เห็นว่าฝ่ายค้านมีเหตุผลเพียงพอต่อการยื่นซักฟอกกรณีการถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วนจริง ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่เหมาะสม ควรแก้ไขให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ร้อยละ 66.72 ยังเห็นด้วยที่ฝ่ายค้านยื่นซักฟอก เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่สามารถกระทำได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังมองว่าการยื่นซักฟอกกรณีดังกล่าว จะทำให้ความเชื่อมั่นลดลง เพราะเกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัย ไม่มั่นใจในการทำงาน ทั้งนี้ สิ่งที่ประชาชนอยากฝาก ไปยังฝ่ายรัฐบาล 3 อันดับแรกคือ การตอบคำถาม การชี้แจงต้องชัดเจนตรงประเด็น ต้องตั้งใจรับฟังอย่างมีสติ มีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ และทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด รักษาสัญญา บริหารบ้านเมืองตามนโยบาย ส่วนที่จะฝากถึงฝ่ายค้านคือ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ใส่ร้ายป้ายสี เน้นเรื่องการทำงาน ดูแลประชาชน นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม

ไม่เอาด้วย “บิ๊กป้อม” คุม พปชร.

ด้านนิด้าโพล เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 1,259 คน เรื่องการเข้าพรรคและย้ายขั้วทางการเมือง พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 48.69 ไม่เห็นด้วยที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้ามาเป็น ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ มีร้อยละ 31.61 ที่เห็นด้วย และร้อยละ 19.46 รู้สึกเฉยๆไม่สนใจ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วย ที่ 4 ส.ส.ของพรรคเศรษฐกิจใหม่จะย้ายขั้วไปสนับสนุน รัฐบาล เพราะไม่ยึดอุดมการณ์พรรค ไม่มีจุดยืน ส่วนกรณีนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ย้ายขั้วไปเป็นฝ่ายค้านอิสระ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 50.52 เห็นด้วย ขณะที่กรณี ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคน ย้ายขั้วไปสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนใหญ่ร้อยละ 53.14 ระบุว่าไม่เห็นด้วย มีร้อยละ 33.91 ที่เห็นด้วย และร้อยละ 12.71 เฉยๆ

“เทพไท” ตีกรรเชียงหนีเพื่อไทย

อีกเรื่อง นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน เตรียมเชิญพรรคร่วมรัฐบาลเข้าร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นจุดยืนของแต่ละพรรคไม่ควรใช้วิธีการออกบัตรเชิญเหมือนงานแต่ง งานศพ ถือเป็นการดูถูกดูแคลนประชดประชันกัน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการทำงานการเมืองร่วมสภาฯ เดียวกัน แต่ละพรรคสามารถกำหนดจุดยืนของตัวเองได้ ประชาธิปัตย์มีจุดยืนชัดเจน ที่ผ่านมาไม่ได้ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่เมื่อผลการลงประชามติเสียงส่วนใหญ่ยอมรับ พรรคก็ยอมรับและปฏิบัติตามทุกประการ เมื่อรัฐบาลชุดนี้มีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน ก็ต้องผลักดัน นโยบายให้ประสบผลสำเร็จเร็วที่สุด

โยน “สนธิรัตน์” ไปตอบสังคมเอง

นายเทพไทกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า ยังไม่มีแนวความคิดในเรื่องนี้นั้น ถือเป็นจุดยืนและสิทธิของพรรคพลังประชารัฐที่ต้องให้ความเคารพ แต่อยากให้พิจารณาความหมายของคำว่า นโยบายเร่งด่วน หมายความว่าอย่างไร ถ้าจะบอกว่า เป็นนโยบายเร่งด่วน แต่ไม่ต้องเร่งด่วนในการทำก็ให้พลังประชารัฐไปตอบคำถามนี้ต่อสังคมเอง ส่วนตัวเห็นว่าถ้าเป็นนโยบายเร่งด่วนก็ต้องลงมือทำในทันที เหมือนนโยบายประกันรายได้เกษตรกร อาทิ ยางพารา ปาล์ม ข้าว ที่กำลังมีผลในทางปฏิบัติเร็วๆนี้

“ช่อ” แจงต้องทำรอบคอบที่สุด

น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงการขอขยายเวลายื่นบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบ ที่ผ่านมามีนักการเมืองบางรายถูกชี้มูลจากความผิดดังกล่าวมาแล้ว แม้จะเป็นทรัพย์สินจำนวนหลักพันบาทก็ตาม เราจึงต้องตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบ และช่วงเดือนที่ผ่านมา ส.ส.พรรคต้องเตรียมข้อมูลซักถามในการแถลงนโยบายของรัฐบาล ทำให้บางคนอาจไม่มีเวลาเตรียมเรื่องยื่นบัญชี ยืนยันว่าทั้งตน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค จะยื่นทันตามเวลาที่กฎหมายกำหนด เพราะตนและนายปิยบุตรไม่ได้มีทรัพย์สินมากมาย

“ตู่–เต้น–กี้ร์” ต้องร่วมชดใช้คดีเผา

อีกเรื่อง นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มอบหมายให้ตนไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแพ่ง ในคดีการวางเพลิงเผาทรัพย์ ช่วงระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทางโจทก์คือนางนุชทิพย์ บรรจงศิลป์ เป็นโจทก์ที่ 1, นายสิริเชษฐ์ สุขประสงค์ดี โจทก์ที่ 2, นางมนัสนันท์ สุขประสงค์ดี โจทก์ที่ 3 และบริษัทยูแอลซี ซอฟต์แวร์ โจทก์ที่ 4 ร่วมกันฟ้องจำเลย 11 ราย ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กองทัพบก นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายทักษิณ ชินวัตร กรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 385,920,800 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ กทม. ส่วนจำเลยคนอื่นยกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้นายจตุพร นายณัฐวุฒิ และนายอริสมันต์ ร่วมกันรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 1,347,000 บาท ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 12,000,000 บาท และร่วมกันรับผิดชอบใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 6,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากคำพิพากษา พบว่าศาลฎีกาให้เหตุผลสรุปสาระสำคัญว่าคำพูดของนายจตุพร นายณัฐวุฒิ และนายอริสมันต์ ล้วนเป็นการปราศรัยที่ยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมร่วมกันแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่