7 ส.ค. ฝ่ายค้านยื่นกระทู้สดง้างปาก “บิ๊กตู่” แจงถวายสัตย์ฯไม่ครบขัดรัฐธรรมนูญ ม.161 เตรียมลัดคิวยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเดือน ก.ย.ก่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2563 “สุทิน” ชี้ร้องผ่านประธานสภาฯส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความช้าเกินไป บี้ “ประยุทธ์” สำนึกผิดไขก๊อก ค่อยโหวตเลือกกลับมาใหม่สง่างามกว่า “วันนอร์” สอนเชิงต้องทำทุกอย่างให้ครบถ้วน ไม่เช่นนั้นการบริหารงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ดู “โอบามา” ปฏิญาณตนไม่ครบยังไม่กล้าบริหาร ยอมปฏิญาณใหม่ “วิลาศ” เฉ่งนายกฯไม่ต้องทำตามกฎหมายหรือ ย้อนต่อไปอย่าจี้ให้ใครเคารพกฎหมาย “ศรีสุวรรณ” ขู่รัฐบาลประยุทธ์ 2 เสี่ยงเป็นโมฆะ “ธนกร” อ้าง “วิษณุ” ยันทำตามขั้นตอนจบแล้ว
พรรคฝ่ายค้านยังคงเกาะติดเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขความไม่ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายจากกรณี มีการกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 161 กรณีนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ครบถ้วน ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ โดยในวันที่ 7 ส.ค.จะยื่นกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎร หากนายกฯไม่แสดงความรับผิดชอบจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือน ก.ย. ก่อนจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
ฝ่ายค้านยื่นกระทู้ ครม.ทำผิด ม.161
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 ส.ค. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า ในการประชุมวิปฝ่ายค้านวันที่ 6 ส.ค.จะหยิบยกกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 161 กรณีนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ครบถ้วน ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ โดยเบื้องต้นเท่าที่หารือกัน เห็นตรงกันว่าในวันที่ 7 ส.ค. จะยื่นกระทู้ถามสด ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ให้ชี้แจงเรื่องดังกล่าว หากนายกฯ ยอมรับว่าบกพร่องจะดำเนินการแก้ไขอย่างไร
...
ลัดคิวยื่นซักฟอก ก.ย.ก่อนถกงบฯปี 63
นายสุทินกล่าวอีกว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่รับผิดชอบ คงใช้มาตรการต่อไปคือการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลกรณีทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ต้องทำโดยเร็วทันทีก่อนที่จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 คาดว่าจะยื่นอภิปราย ไม่ไว้วางใจในเดือน ก.ย. ก่อนจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบรายจ่ายปี 2563 ในเดือน ต.ค. เพราะหากรัฐบาลมีสถานภาพไม่ครบถ้วนแล้วปล่อยให้ไปพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณจะยิ่งเสี่ยงไปกันใหญ่ ทำให้งบประมาณเป็นโมฆะไปด้วย ดังนั้นจึงต้องเคลียร์สถานภาพรัฐบาลให้ชัดเจนก่อนพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบรายจ่ายปี 2563
บี้ “ประยุทธ์” ไขก๊อกรับผิดชอบ
นายสุทินกล่าวต่อว่า ส่วนการยื่นเรื่องต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยกรณี ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วน เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะดำเนินการ แต่เห็นว่าอาจจะมีความล่าช้าเพราะกว่าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเสร็จ คงใช้ เวลานาน แต่สิ่งที่ฝ่ายค้านอยากเห็นโดยเร็วคือการให้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงความรับผิดชอบ โดยมีความสำนึกผิดจะเกิดความสง่างามมากกว่า มองว่าทางออกที่สง่างามที่สุดขณะนี้คือนายกฯต้องลาออก จากนั้นค่อยไปว่ากันอีกครั้งว่าจะกลับมาใหม่หรือไม่อย่างไร เพราะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ครม.ชุดนี้กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนทุกถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ ยิ่งนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พยายามบ่ายเบี่ยงที่จะชี้แจงเรื่องนี้ โดยบอกว่าไม่ควรพูดถือว่าส่งสัญญาณไม่ดี ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัย กำกวมว่าทำถูกต้องหรือไม่ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับสำนึกของรัฐบาลว่าจะรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่
จี้ รบ.แก้ไขถวายสัตย์ฯให้ถูกต้อง
น.อ.อนุดิษฐ์ยังกล่าวถึงการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม และคณะรัฐมนตรี ที่ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ว่าเรื่องนี้สังคมมีการวิพากษ์ วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและผิดกฎหมาย หากรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ตัดสินใจชี้แจงและแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้ให้ถูกต้อง ฝ่ายค้านคงไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นนอกจากต้องทำหน้าที่ของฝ่ายค้านให้ข้อเท็จจริงต่างๆได้ปรากฏและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของเรากับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายต่อไป
สิ้นหวัง “ตู่” นำทีม ศก.เหล้าเก่าขวดใหม่
เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์คุมทั้งทหาร ตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยเฉพาะการมานั่งเป็นประธานคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจด้วยตัวเอง จะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศได้หรือไม่ น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่ารู้สึกสิ้นหวังกับการแก้ไขปัญหาของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลที่แล้ว และแอบมีความหวังเล็กๆว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่อาจจะมีความสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆที่หมักหมมมานานสำเร็จก็เป็นได้ แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่เป็นแค่เพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ มีแต่คนหน้าเดิม จึงเชื่อว่าต่อให้มีหัวหน้าทีมคนใหม่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์มานำทีมก็เชื่อได้ยากว่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆได้สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีอำนาจพิเศษนอกกฎหมายให้บังคับใช้ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังขอเป็นกำลังใจให้ทีมเศรษฐกิจสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆให้ลุล่วงไปให้ได้ เพราะวันนี้คนส่วนใหญ่มีชีวิตที่ยากลำบาก และประสบความเดือดร้อนด้านเศรษฐกิจกันทั้งประเทศ
“เจ๊หน่อย” ยกพลลุยแก้ภัยแล้งทุ่งกุลาฯ
น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ วันที่ 5 ส.ค.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย จะนำคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคเดินทางไป จ.ร้อยเอ็ด เพื่อประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยสัญจรครั้งที่ 1 เพื่อเยี่ยมเยียนพี่น้องชาวอีสาน โดยเฉพาะเกษตรกรทุ่งกุลาร้องไห้ เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อน และหารือการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน จะนำแผนจัดการน้ำในยุคที่พรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทยเคยเริ่มต้นไว้มาใช้เป็นแนวทาง รู้สึกเสียดายที่การรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง ไม่สามารถแก้ปัญหาภัยแล้งซ้ำซากได้ เพราะไม่มีแผนการจัดการน้ำทั่วประเทศอย่างยั่งยืน ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงทุกข์ยากอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยจะมีตัวแทนเกษตรกรทุ่งกุลาร้องไห้มาเข้าร่วมด้วย ถือเป็นการเริ่มเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญของพรรคที่ประกาศเอาไว้นั่นคือประชาชนคิด เพื่อไทยทำ พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นแหล่งผลิตข้าวที่อร่อยที่สุดในโลก แต่เกษตรกรกลับยังลำบากเพราะขาดแคลนน้ำ ดังนั้น การประชุมครั้งนี้เราจะหารือถึงการแก้ปัญหาน้ำแล้งเป็นลำดับแรก ประชาชนจังหวัดไหนอยากให้เราไปรับฟังปัญหาและร่วมคิดด้วยกัน สามารถติดต่อมาที่พรรคเพื่อไทยได้ทุกเวลา
“วันนอร์” สอน รบ.ต้องทำให้สมบูรณ์
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติและอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหมและคณะรัฐมนตรี ที่ไม่ครบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ว่า การถวายสัตย์เป็นเรื่องที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ก่อนปฏิบัติหน้าที่รัฐบาลต้องเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อไม่ได้ทำหรือทำไม่ครบก็ยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องทำให้สมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นการบริหารงานของรัฐบาล ทั้งเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายหรือการใช้งบประมาณจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากรัฐบาลยังขืนบริหารโดยไม่ครบสมบูรณ์ต้องรับผิดชอบ ในส่วนของฝ่ายค้านคงต้องดำเนินการยื่นกระทู้ ยื่นญัตติอภิปราย หรือส่งเรื่องต่อประธานสภาฯให้ส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน ศาลรัฐธรรมนูญจะว่าอย่างไร
ชู “โอบามา” ยังยอมปฏิญาณตนใหม่
“จริงๆแล้วการถวายสัตย์ฯไม่ครบ สมัยนายบารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเข้ารับตำแหน่งสมัยแรก เขาปฏิญาณตนไม่ครบ ยังไม่กล้าบริหาร ต้องปฏิญาณใหม่ถึงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แม้รัฐธรรมนูญของไทยกับสหรัฐอเมริกาจะไม่เหมือนกัน แต่เขาเป็นประเทศใหญ่ยังต้องทำใหม่ ดังนั้น นายกฯควรทำอะไรให้ประชาชนหายข้องใจ ไม่ใช่ตีขลุม ไม่ตอบคำถาม เมื่อทำไม่สมบูรณ์ ก็ทำใหม่ให้สมบูรณ์ ไม่มีอะไรมาก ต่อไปสภาฯจะได้สบายใจว่าการบริหารของรัฐบาลถูกต้อง” หัวหน้า พรรคประชาชาติกล่าว
“วิลาศ” ฉะนายกฯไม่ต้องทำตาม ก.ม.หรือ
ด้านนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านจองกฐินเรื่องที่นายกรัฐมนตรีนำ ครม.กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดเรียกร้องขอความร่วมมือกับประชาชนว่าให้ยึดหลักกฎหมาย แม้ในสภาผู้แทนฯเองท่านก็พูดตลอดว่าให้ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่กรณีการถวายสัตย์ฯ ที่กฎหมายกำหนดว่า ต้องพูดให้ครบถ้วน ท่านกลับพูดไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด ท่านก็ต้องยอมรับ ความจริงว่าผิดพลาด ที่สำคัญท่านต้องทำตามกฎหมายที่กำหนด เพราะประโยคที่นายกฯพูดขาดไปถือว่าเป็นสาระสำคัญคือ “ทั้งจะรักษาไว้และจะปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ดังนั้นถ้านายกฯไม่พูดตามคำกล่าวถวายสัตย์ฯที่ผู้นำรัฐบาลทุกชุดกล่าวนำ ครม.ก็เท่ากับว่านายกรัฐมนตรีและ ครม.ชุดนี้ได้รับการยกเว้น หรือไม่ต้องปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 161 กำหนด ทั้งที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเช่นนั้นหรือ
ย้อนต่อไปอย่าจี้ให้ใครเคารพ ก.ม.
เมื่อถามว่าการที่ฝ่ายค้านจองกฐินตรวจสอบเรื่องนี้ โดยจะตั้งกระทู้ถามสดในสภาฯและอาจอภิปรายซักฟอกนายกฯ หรืออาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ จะมีผลกระทบต่อรัฐบาลมากน้อยเพียงใด นายวิลาศกล่าวว่า กระทบแน่นอน อย่างน้อยเป็นการสร้างภาระให้องค์กรอื่น เพราะจะต้องตีความกฎหมายให้ยุ่งยากอีก ถามว่าถ้ามีคนถามนายกฯว่าที่ผ่านมาท่านเรียกร้องคนไทยให้เคารพกฎหมาย แต่กลับกลายเป็นตัวท่านเองที่ไม่ทำตามกฎหมาย คือไม่พูดปฏิญาณตนให้ครบถ้วนทุกคำ แล้วต่อจากนี้ใครจะทำตามที่ท่านพูด หรือนายกฯจะไปสอนพูดประชาชนต่อได้อย่างไร มิฉะนั้นต่อจากนี้นายกฯควรสละสิทธิ์ที่จะไม่เรียกร้องให้คนไทยปฏิบัติตามกฎหมายอีกต่อไป
อัด “วิษณุ” แจงไม่ได้ไล่ทบทวนตัวเอง
นายวิลาศกล่าวต่อว่าส่วนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ระบุว่าเรื่องนี้จบแล้วนั้น นายวิลาศกล่าวว่า ยังไม่เข้าใจคำว่าจบแล้วของรองนายกฯหมายถึงอะไร หรือหมายความว่าคนทำผิดแล้วจะปล่อยลืมๆกันไปเช่นนั้นหรือ แม้จะอ้างว่าไม่มีเจตนา ถามว่าหากต่อไปมีคนเอาแบบอย่าง อ้างว่าไม่มีเจตนาไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้าง แล้วสังคมจะอยู่กันอย่างไร ที่พูดทั้งหมดเป็นไปตามหลักการ เพราะทุกวันนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงข้อเท็จจริงกันแล้ว การที่นายวิษณุระบุว่าแล้ววันหลังจะรู้เองและท่านจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว ยิ่งสร้างความสับสนต่อสังคมไทยว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย แทนที่รองนายกฯฝ่ายกฎหมายจะชี้แจงข้อเท็จจริงตามข้อกฎหมาย แต่กลับสร้างความอึมครึมขึ้นมาแทน หากพูดได้แค่นี้ควรกลับไปทบทวนตัวเองดูหรือไม่
“ศรีสุวรรณ” ย้ำยื่นศาลวินิจฉัย
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 5 ส.ค. เวลา 10.00 น. จะไปยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองวินิจฉัยกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นำ ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ โดยกล่าวถ้อยคำไม่ครบถ้วน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ทำให้เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันอย่างมากว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนายกรัฐมนตรีและ ครม.ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและมีผลสมบูรณ์หรือไม่ อาจมีผลกระทบทางการเมืองทำให้ ครม.เข้ารับทำหน้าที่โดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
ชี้รัฐบาลชุดนี้อาจเป็นโมฆะ
“เพราะถ้อยคำที่ ครม.ต้องถวายสัตย์ฯให้ครบ เป็นบทบัญญัติที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ เป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของการถวายสัตย์ฯที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.กลับกล่าวคำถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วน อาจทำให้รัฐบาลชุดนี้เป็นโมฆะ ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ต่อไป ดังนั้นจึงต้องหาความชัดเจนเรื่องดังกล่าว โดยการส่งเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย” นายศรีสุวรรณกล่าว
“ธนกร” อ้าง “วิษณุ” ยันทำครบถ้วน
นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีพรรคฝ่ายค้านเตรียมยื่น กระทู้ถามและอาจจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล กรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณของนายกฯและ ครม. ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญว่า เรื่องนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ชี้แจงแล้วว่าการถวายสัตย์ฯทำตามขั้นตอนตามกฎหมายอย่างครบถ้วนแล้วและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามกฎหมายทุกประการ ต่อให้มีการยื่นซักฟอกก็มั่นใจว่ารัฐบาลสามารถชี้แจงได้อยู่แล้ว ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ไม่ถึงขั้นจะยื่นอภิปรายซักฟอก ควรให้รัฐบาลทำงานตามนโยบาย ที่แถลงต่อรัฐสภาก่อน เพราะประชาชนรอการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลอยู่ หากเห็นว่าสิ่งใดที่รัฐบาลดำเนินการไม่ถูกต้องค่อยอภิปรายดีกว่า
“บิ๊กตู่” ยังไม่เคาะจัด “นายกฯพบ ปชช.”
ส่วนกรณีที่นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดที่จะรื้อฟื้นรายการนายกฯพบประชาชนกลับมาเพื่อเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการให้นายกฯสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับงานของรัฐบาล และเกิดกระแสในโลกโซเชียล เรียกร้องให้มีการจำกัดเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์เพียงช่องเดียว อย่าบังคับให้ทุกคนต้องดูวันเดียวกัน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีการเผยข่าวว่ารัฐบาลเตรียมจัดรายการ “นายกฯพบประชาชน” ซึ่งเดิมรัฐบาลที่ผ่านมามีรายการดังกล่าวในเวลาช่วงเช้าวันเสาร์ว่า ขอเรียนให้ทราบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องนี้แต่อย่างใด
“หม่อมเต่า” ตั้ง “นันทเดช” นั่งเลขาฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงแรงงานว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน เตรียมเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 6 ส.ค. เพื่อให้ความ เห็นชอบแต่งตั้งให้ พล.ท.นันทเดช เมฆสวรรค์ เป็นเลขานุการ รมว.แรงงาน และนายจักษ์ พันธ์ชูเพชร เป็นที่ปรึกษา รมว.แรงงาน สำหรับประวัติของ พล.ท.นันทเดช เป็นกรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และอดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ขณะที่นายจักษ์เป็นกรรมการบริหารพรรค รปช.และอาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และยังเคยมีชื่อเสียงจากการขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ด้วย
ปชช.ขอรัฐเร่งแก้ ศก.ปากท้อง
วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล โดยมหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน เดินหน้าอย่างไร? จึงจะถูกใจประชาชน จาก 1,902 คน ระหว่างวันที่ 30 ก.ค.-3 ส.ค.พบว่า สิ่งที่ประชาชนเห็นว่าฝ่ายรัฐบาลต้องทำเร่งด่วน อันดับแรกร้อยละ 76.98 แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ ปากท้องประชาชน ร้อยละ 30.25 ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ร้อยละ 27.43 การทุจริตคอร์รัปชัน ประพฤติมิชอบ ร้อยละ 26.64 ระบุการ บริหารประเทศ การใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และร้อยละ 16.14 ระบุปฏิรูปการศึกษา ส่วนสิ่งที่ฝ่ายค้านต้องทำเร่งด่วน ร้อยละ 51.88 การตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล ร้อยละ 49.57 ให้ความ ร่วมมือการดำเนินงานของรัฐบาลที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ร้อยละ 21.10 ตรวจสอบการใช้งบประมาณ การทุจริตในโครงการต่างๆ ร้อยละ 15.46 ผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญและข้อกฎหมายต่างๆ และร้อยละ 10.55 การสร้างความสามัคคี ปรองดอง
ห่วงสุดๆของแพง ตกงาน ไม่มีเงินใช้
เมื่อถามถึงสิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลไม่ควรทำอย่างยิ่ง ร้อยละ 50.79 เอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ขาดความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่ ร้อยละ 24.21 ใช้งบประมาณสิ้นเปลือง ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เกินความจำเป็น ร้อยละ 15.41 การวางตนในสภาฯไม่เหมาะสม ไม่เป็นแบบอย่างที่ดี ร้อยละ 14.78 ออกนโยบายกระทบประชาชน เช่น ขึ้นภาษี ขึ้นราคาสินค้าและบริการ ร้อยละ 7.23 ไม่ดำเนินงานตามนโยบายไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ เช่น การขึ้นค่าแรง ส่วนสิ่งที่ฝ่ายค้านไม่ควรทำอย่างยิ่ง ร้อยละ 34.68 ระบุการทุจริต ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ร้อยละ 33.62 อภิปรายไม่สร้างสรรค์ ไม่เคารพกฎระเบียบรัฐสภา ร้อยละ 27.02 ค้านทุกเรื่องไม่ฟังเหตุผล มีอคติ ร้อยละ 14.47 สร้างความแตกแยกในสังคม ปลุกระดมทางความคิด ร้อยละ 11.28 นำเสนอข้อมูลบิดเบือน ปล่อยข่าวเท็จ ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองที่ประชาชนเป็นห่วงมากที่สุด ร้อยละ 79.64 ปัญหาปากท้องของแพง คนตกงาน ว่างงาน เงินไม่พอใช้ ร้อยละ 35.07 ความขัดแย้งทางการเมือง แตกแยก ขาดความสามัคคี ร้อยละ 22.06 การก่อเหตุร้าย วางระเบิด ร้อยละ 16.52 กฎหมายไม่มีความยุติธรรม เหลื่อมล้ำ และร้อยละ 14.25 เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน ราคาผลผลิตตกต่ำ
หลังแถลงนโยบายยังเชื่อมั่น รบ.
ขณะที่สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจเรื่อง “พรรคการเมืองใดใครทำตามสัญญา” กรณีศึกษา 1,074 ตัวอย่าง วันที่ 1-3 ส.ค.พบว่า พรรคที่เริ่มทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ร้อยละ 40.7 พรรคภูมิใจไทย เรื่องกัญชาทางการแพทย์และยกระดับอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ร้อยละ 33.3 พรรคพลังประชารัฐ เรื่องลดค่าครองชีพ เพิ่มรายได้ ร้อยละ 24.1 พรรคประชาธิปัตย์ ลดค่าครองชีพ เพิ่มรายได้ ร้อยละ 7.4 พรรครวมพลังประชาชาติไทย เรื่องแรงงาน ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของประชาชนหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ร้อยละ 62.9 เชื่อมั่นเหมือนเดิมถึงเพิ่มขึ้น ร้อยละ 37.1 เชื่อมั่นลดลงถึงไม่เชื่อมั่นเลย โดยร้อยละ 51.9 ให้ระยะเวลารัฐบาลทำงาน 4 ปีเพื่อแก้เศรษฐกิจเพิ่มเงินในกระเป๋าประชาชน ร้อยละ 48.1 ไม่ถึง 4 ปี เมื่อถามถึงองค์กรอิสระที่ประชาชนเชื่อมั่นทำประเทศชาติพ้นความขัดแย้ง ร้อยละ 26.4 ระบุคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้อยละ 24.3 ศาลรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 14.3 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ร้อยละ 9.2 ศาลปกติในกระบวนการยุติธรรมและร้อยละ 4 ศาลปกครอง
อนค.เปิดแคมเปญรณรงค์แก้ รธน.
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่อาคารพุทธสถาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จัดเวทีเสวนา “จินตนาการใหม่ ข้อตกลงใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ : ประเทศไทยแบบไหนที่เราอยากอยู่ร่วมกัน” ดำเนินรายการโดยนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ มีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายกษิต ภิรมย์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล นางสุรีรัตน์ ตรีมรรคา ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ โดยมีชาวเชียงใหม่เข้าร่วมรับฟังกว่า 500 คน ในวงเสวนาได้พูดถึงการสร้างจินตนาการใหม่เรียนรู้บทเรียนจากอดีต หาความเป็นไปได้ใหม่ๆในการสร้างความต้องการของสังคมร่วมกัน เพื่อข้อตกลงใหม่ เลิกคิดถึงระบบสังคมการเมืองที่ผู้ชนะกินรวบทั้งหมด ผู้แพ้รอการเอาคืน แต่มาแสวงหาข้อตกลงครั้งใหม่ว่าสังคมเมืองแบบไหนที่ทุกคนยอมรับเพื่อจะอยู่ร่วมกันได้ โดยรัฐธรรมนูญใหม่ประชาชนทั้งประเทศจะช่วยกันคิดออกแบบและเขียนเพื่อกำหนดระบบการเมืองที่ยอมรับกันได้ ประกันสิทธิเสรีภาพ เปิดทางให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า
“กษิต”ให้ทำพรรคเป็น ปชต.ให้ได้ก่อน
นายกษิตกล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถอยหลังเข้าคลอง ได้พยายามคัดค้านมาตลอด โดยเฉพาะการให้ข้าราชการมีตำแหน่งทางการเมือง ประเด็นรัฐธรรมนูญที่ทั่วโลกบอกคือประชาชนเป็นใหญ่ เสียงข้างมากเป็นใหญ่ในที่ประชุมสภาฯ ไม่ควรดึงดันกันด้วยรถถังหรือใช้เสียงข้างมากที่เป็นพวกเดียวกันในสภาฯ เพราะเท่ากับเป็นเผด็จการพอกัน ขณะที่มีคำถามว่าพรรคการเมืองเป็นของครอบครัวหรือพรรคที่เป็นประชาธิปไตยในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อก้าวไปสู่รัฐธรรมนูญใหม่ที่ดีกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้พรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตยจริงๆให้ได้ก่อน
เหน็บนายกฯไม่มี ม.44 จะอกแตกตาย
ด้านนายสมชัยกล่าวว่า เส้นทางการแก้รัฐธรรมนูญคดเคี้ยว แต่เชื่อว่าจะไปให้ถึง เพื่อช่วยกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง การจะแก้รัฐธรรมนูญสิ่งแรกคือการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนก่อน ให้ตรวจสอบถ่วงดุลได้ ส.ว.ไม่มีทางมาถ่วงดุลได้ เพราะไม่ใช่กลไกที่มาถูกต้อง ควรมีองค์กรอิสระหรือประชาชนที่มาจากคนนอกมาตรวจสอบ หลักการดีแต่ยืมนาฬิกาเพื่อนแบบนี้ไม่ได้ หรือการถวายสัตย์ไม่ครบ แต่บอกว่าอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรรู้ แล้วจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร อยากให้เดินหน้าไปเลย ประเด็นไหนไม่ดี ฝ่ายค้านยื่นญัตติเข้าไปเลย ขณะที่นอกสภาฯคือการเดินหน้าให้ความรู้ประชาชน ให้เห็นทุกข์เพื่อหาทางแก้ แต่ต้องสามัคคีกับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่อนาคตใหม่ ใครเสียงดังในสังคมเชิญมาพูดให้ประชาชนฟัง หากยังคงรัฐธรรมนูญปี 60 จะเป็นความทุกข์และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯจะอกแตกตายเอง เพราะไม่มีมาตรา 44 มีการต่อรองจากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีความสุขแน่ เส้นเลือดในสมองจะแตกตาย เพราะกลไกไม่เอื้อให้ทำงานได้ และความขัดแย้งจะยังคงอยู่เป็นความอึดอัดของประชาชน จะนำไปสู่การออกมาระบายความรู้สึกซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว
ฉะ รธน.60 ฉุด ปชต.ถดถอยต้องรื้อ
หลังจากเสวนา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขึ้นเวทีกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพรรคอนาคตใหม่เสนอรูปมือของประชาชนจับกัน ถึงเวลาต้องหาฉันทามติร่วมกัน ประชาชนจำนวนมากเห็นถึงปัญหาว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 พาประชาธิปไตยถดถอยลง จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ขอเสนอให้พี่น้องประชาชนมาร่วมกันออกแบบ มาร่วมกันขีดเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จากนั้นทั้งหมดเดินทางไปจัดกิจกรรมรณรงค์ ที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ กลางเมืองเชียงใหม่ เดินพบปะชาวเชียงใหม่ไปตามถนนคนเดินท่าแพท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมา แต่มีคนเชียงใหม่แห่ไปต้อนรับและขอถ่ายรูปกับนายธนาธร น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.ดาวรุ่งจากการอภิปรายในการแถลงนโยบายของรัฐบาล มีชาวเชียงใหม่พากันเฮเข้าไปรุมขอถ่ายรูป พร้อมยกให้เป็นขวัญใจคนใหม่ ชื่นชมว่าทั้งหล่อและพูดเก่ง
“ปวิน” ระบุ จนท.รัฐบาลส่งคนข่มขู่
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 3 ส.ค.โดยอ้างการเปิดเผยของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น นักวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารและสถาบันของไทย ซึ่งลี้ภัยอยู่ในญี่ปุ่น โดยนายปวิน วัย 48 ปี อ้างว่าเมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. วันจันทร์ที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา มีชายชุดดำสวมหน้ากากคนหนึ่งบุกเข้าไปในห้องพักของตนที่เมืองเกียวโต จากนั้นคนร้ายฉีดสเปรย์สารเคมีบางอย่างใส่ตนและเพื่อนสนิทที่กำลังนอนหลับอยู่ ทำให้ผิวหนังเผาไหม้ แต่ไม่มีใครบาดเจ็บร้ายแรง แต่ตำรวจบอกไม่ให้พวกตนกลับบ้าน เป็นที่แน่ชัดว่าคนร้ายต้องการข่มขู่ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เพราะไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครเป็นการส่วนตัว ส่วนแพทย์ระบุว่าสารเคมีนี้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ขณะที่ตำรวจญี่ปุ่นยืนยันว่ากำลังสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว