เหตุลอบวางระเบิดจุดสำคัญ ทั้งพื้นที่สาธารณะและสถานที่ราชการ ในกรุงเทพฯหลายจุด กำลังถูกมองถึง “สัญญาณเตือน อุณหภูมิทางการเมือง” ที่เริ่มระอุร้อน...อาจนำมาสู่ความเสี่ยงก่อเหตุวุ่นวายซ้ำรอย หรือความขัดแย้งทางการเมือง จะหวนกลับมาอีกครั้ง

แต่เหตุที่เกิดขึ้นนี้...สร้างความหวาดกลัวให้ประชาชน ในเรื่องความปลอดภัย และนักลงทุนเกิดความลังเลไม่มั่นใจเกี่ยวกับการเข้ามาลงทุน...นี่อาจถือว่าเป็น “บททดสอบ และความท้าทายของรัฐบาลชุดใหม่” ประเดิมในการรับมือคลี่คลายกับสถานการณ์นี้ ให้ประชาชน นานาชาติ มีความเชื่อมั่นกลับคืนมา...

เหตุการณ์ระเบิดป่วนเมือง รศ.ดร.วิทยาธร ท่อแก้ว ประธานกรรมการบริหารหลักสูตรนวัตกรรมการสื่อสารทางการเมืองและการปกครองท้องถิ่น สาขาวิชานิเทศศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า เรื่องนี้มีนัยสำคัญ ทั้งเชิงสัญลักษณ์ และเชิงการส่งสัญญาณ...ให้สังคมเห็นความล้มเหลวของรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง ที่มุ่งเป้าไปยังการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ไม่สามารถควบคุมด้านความมั่นคงได้

รศ.ดร.วิทยาธร
รศ.ดร.วิทยาธร

...

มีความจงใจ...ทำลายความเชื่อมั่น เพราะเลือกก่อเหตุในย่านหรือสถานที่สำคัญ...เป็นการ “ตอกย้ำ” ความหละหลวมของฝ่ายความมั่นคง ที่เพิ่งเปลี่ยน “หัวเรือใหญ่คนใหม่” มาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาควบคุมดูแลฝ่ายความมั่นคงและตำรวจ โดยตรง

เมื่อนายกรัฐมนตรีมานั่งดูแลฝ่ายความมั่นคงและตำรวจ ในการ “ดิสเครดิตรัฐบาลชุดนี้” ให้ได้ผลดี เริ่มจากสร้างสถานการณ์วางระเบิดป่วนเมือง ในพื้นที่สาธารณะ และสถานที่ราชการสำคัญ ให้เห็นว่าผู้กำกับดูแลฝ่ายความมั่นคงและตำรวจ คือ ตัวนายกรัฐมนตรี มีสภาวะความเป็นผู้นำดูแล
ความสงบเรียบร้อยบ้านเมืองไม่ได้

เหตุการณ์นี้เห็นชัดเจนว่า จุดประสงค์หวังทำลายรัฐบาล...มุ่งเป้าส่งสัญญาณถึงตัวนายกรัฐมนตรี ในสภาวะอาจขาดความเป็นผู้นำของประเทศ ที่เป็นกลไกสำคัญสูงสุดของการบริหาร

สังเกตจากการเลือกจุดก่อเหตุ...ล้วนเป็นสถานที่ที่มีความมั่นคงโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นการ “ลองของกับรัฐบาลชุดใหม่” หวังผลสะท้อนความหละหลวม

ในการปฏิบัติหน้าที่ ประสานการปฏิบัติ ที่อาจมีเรื่องความขัดแย้งของฝ่ายปฏิบัติกับระดับนโยบาย ทำให้มีการปล่อยปละละเลยก็ได้ เพราะดูเหมือนว่ามีการก่อเหตุได้ง่าย?...

แต่ที่มองถึงเรื่อง “ดิสเครดิตรัฐบาล” เพราะช่วงนี้ยังไม่มีสาเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง และไม่ใช่ช่วงโยกย้าย แต่งตั้งตำแหน่งสำคัญ ทั้งตำรวจ ทหาร ที่มักมีปัญหา หรือขัดประโยชน์กัน ทว่า...แม้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ผบ.ตร. หรือ ผบ.ทบ.คนใหม่...แต่บางหน่วยงาน หรือบางฝ่ายสำคัญๆ มีการเปลี่ยนผู้ดูแลใหม่ อาทิ ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานด้านตำรวจ

“ส่งผลอาจมีข้อเงื่อนไขระหว่างทีมเก่าและบุคคล ที่อาจมาทำงานเป็นทีมใหม่ เพราะการเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทีมงานใหม่ ที่จะเข้ามาปฏิบัติงานในอนาคต และมีเหตุเชิงสัญลักษณ์ “ข่มขู่”

...ที่ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน ทำให้เกิดความเดือดร้อน สุดท้ายมีผลสะท้อนกระทบต่อรัฐบาล ที่โฟกัสถึงตัวนายกฯ ที่ดูแลความมั่นคงและตำรวจ” รศ.ดร.วิทยาธร ว่ามองอีกมุม...อาจเป็นเรื่องของระบบบริหาร...เกิดมีความขัดแย้งผลประโยชน์...แต่ไม่ได้มองถึงว่าเกิดจากความขัดแย้งฝ่ายค้านและรัฐบาล

แต่...เป็นเรื่องการเมืองภายในฝ่ายรัฐบาลเอง ที่เกิดจากผลประโยชน์ไม่ลงตัว กลายเป็นการทดสอบประสิทธิผลกัน...สุดท้ายอาจเป็นการบอกเตือน...ถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีกก็ได้ ส่วนบุคคลใด...คือ มือระเบิด ต้องรอผลสอบสวนสืบสวน...

หากจะพุ่งเป้ามองเหตุการณ์นี้ว่า...เป็นความขัดแย้งทางการเมือง...จุดประสงค์ต้องการให้ประชาชนทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ เห็นว่ารัฐบาลควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงไม่ได้ แต่ไม่ได้หวังผลทำลายล้าง เพราะ “การก่อการร้าย” ต้องเลือกก่อเหตุในพื้นที่คนพลุกพล่าน และใช้ระเบิดรุนแรง ทำให้มีความเสียหายเกิดขึ้น

ความขัดแย้ง?...มีฝ่ายไหน?...บุคคลใด?...ไม่สามารถบอกได้ แต่เหตุการณ์นี้คือบททดสอบความสามารถรัฐบาล หากไม่สามารถคลี่คลายปัญหา ไม่มีคำตอบให้สังคม...ก็เป็นการดิสเครดิตรัฐบาล...

ที่สำคัญยังมองได้อีกว่าเป็นปฏิบัติการ “เชิงอำนาจ” ท้าทายอำนาจของรัฐ ให้สังคมเห็นว่า รัฐไม่มีบทบาทปฏิบัติหน้าที่ปกปักรักษาคุ้มครองประชาชน และฝ่ายความมั่นคงก็ไม่สามารถสร้างความปลอดภัยได้

ย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้...“รัฐบาลชุดใหม่” ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลย แม้ว่าจะผ่านการเลือกตั้ง มีการแถลงนโยบายในสภาฯ เข้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายรัฐบาลไม่นาน เมื่อเข้ามาบริหารประเทศเพียงนาทีเดียว หากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในสังคม รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบทุกกรณี...

ผลเสียตามมายากที่จะปฏิเสธได้...คือ กระทบความมั่นคงในประเทศและภาคการท่องเที่ยว ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัย และลดความเชื่อมั่นของรัฐบาล ที่มีการแถลงนโยบายในสภาผู้แทนราษฎร และดำเนินงานบริหารราชการแผ่นดินได้ไม่กี่วันมานี้...

หนำซ้ำ...ต่างประเทศต่างจับจ้องถึงสถานการณ์บ้านเมือง เพราะกำลังผ่านการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ ที่กำลังจะเกิดการพัฒนา กลับมีเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นหลายจุดนี้ สร้างความตกใจให้กับประชาชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ เพราะถูกแพร่ข้อมูลข่าวสารไปทั่วโลก มีผลให้ความเชื่อมั่นลดลงเช่นกัน

แม้แต่สถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ว่า รัฐบาลมีความชัดเจน และสามารถควบคุมเหตุการณ์ได้ในระดับใด เพราะหากยังมีการระเบิดต่อเนื่อง ย่อมมีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว และภาคการลงทุนแน่นอน เพราะต้องเข้าใจว่า สถานที่เกิดเหตุคือใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย

นักลงทุนย่อมเกิดความลังเล...ไม่มีความมั่นใจ อาจมีผลชะลอการลงทุนในอนาคตได้

ตอนนี้รัฐบาล...ต้องเร่งหาผู้กระทำความผิดที่เป็นผู้ก่อเหตุจริง ที่ไม่ใช่ “แพะ” มาลงโทษ รวมถึงแสวงหาคำตอบเหตุการณ์ทั้งหมด และเร่งนำไปสู่การควบคุมเหตุการณ์ให้ได้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้อยู่ใน “สถานการณ์อึมครึม” โดยเฉพาะผู้นำประเทศ ต้องมาชี้แจงด้วยตัวเอง และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นสู่สาธารณชน

สำคัญต้องชี้แจงทางการทูตให้เข้าใจถึงสถานการณ์คลี่คลาย...ปลอดภัย และกระตุ้นหัวหน้าส่วนการดูแลความปลอดภัยที่มีอยู่เดิมไม่ให้ “เกียร์ว่าง” เพราะเชื่อว่าระบบที่มีนั้นดีอยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคล...

หากปล่อยเหตุการณ์ขยายตัวเกิดเหตุระเบิดอีก...และสถานการณ์ยังอึมครึม ไม่มีความชัดเจน อาจทำให้ต่างชาติตีความสถานการณ์ไปในทางเลวร้ายกว่าเดิม จนสถานทูตประเทศต่างๆ แจ้งเตือนประชากรถึงสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือห้ามเดินทางเข้ามายังประเทศไทยได้

และ...ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น เพราะในความรู้สึกของคนไทย อาจมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่รุนแรง แต่ในสายตาต่างชาติ มักจะประเมินสถานการณ์ในเชิงหนัก...รุนแรงกว่าเหตุเกิดขึ้นจริง จนรู้สึกเกิดความไม่ไว้วางใจ เพราะต้องเข้าใจว่า...การวางระเบิด ต่างจากการชุมนุมทางการเมือง ที่รวมกลุ่มตามสถานที่ชัดเจน

แต่การวางระเบิด คือ สัญลักษณ์ในเชิงการก่อการร้าย ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า มีการวางระเบิดจุดใด แม้แต่ตอนนี้คนไทยยังหวาดกลัว...
ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านจับจ่ายซื้อสินค้า หรือเดินตามห้างสรรพสินค้าเหมือนปกติ แค่นี้เศรษฐกิจในประเทศก็เกิดความเสียหาย ที่ไม่ต้องมองไกลถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ...

การป้องกันระยะยาว สิ่งสำคัญผู้นำประเทศ ในการบริหารราชการ ต้องใช้หลัก “ยุติธรรม” มีความยุติธรรมอยู่ในใจ...ในการบริหารบ้านเมือง ให้เกียรติปรึกษาคุยกันด้วยดี และไม่ข้ามหน้า...ข้ามตากัน...ที่อาจเกิดการแตกร้าว...เป็นสาเหตุความขัดแย้งตามมา...และมีการแสดงออกของความไม่พอใจ...ต่างกันออกไป...

เพราะใคร? จะเป็นผู้ก่อ...หรือเป็นฝีมือใคร?...บทสุดท้ายผลกรรมกลับตกกับผู้บริสุทธิ์ ที่สำคัญสร้างความเสียหายรุนแรงให้กับประเทศ.