แยกหน้าที่ แยกภารกิจ
การที่กฎหมายห้าม ส.ส.เข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น เป็นแนวคิดเพื่อทำให้มีการแยกอำนาจกันอย่างชัดเจน
คือฝ่ายบริหารก็ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ
ฝ่ายนิติบัญญัติก็ทำหน้าที่ออกกฎหมาย
เหล่านี้ก็เพื่อให้เกิดความชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน ไม่มั่ว เพื่อทำให้แต่ละฝ่ายสามารถทำหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพไม่ก้าวก่ายกัน
แต่ในรูปแบบการเมืองไทยนั้นมันซ้ำซ้อนกันอยู่ในตัว เพราะสังกัดพรรคเดียวกัน นักการเมืองเมื่อได้เป็น ส.ส.แต่ต้องการที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งทางการเมืองสูงสุด
คือถ้าไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ก็ต้องมีตำแหน่งการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงไม่สามารถแยกกันอย่างชัดเจนได้
จนกระทั่งกฎหมายได้กำหนดเอาไว้ชัดเจนว่า ส.ส.เป็นรัฐมนตรีได้โดยไม่ต้องลาออกจาก ส.ส. แต่ ส.ส.ไม่สามารถเป็นข้าราชการการเมืองได้
บางพรรคจะด้วยเพราะรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำหรือเพราะไม่ให้เกิดปัญหาในการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน
มีรัฐมนตรีบางพรรคได้ประกาศ “ลาออก” จาก ส.ส. โดย เฉพาะ ส.ส.จากบัญชีรายชื่อเพื่อให้มีการเลื่อนลำดับขึ้นมาเป็น ส.ส.แทนที่
เท่ากับว่าได้เสียง ส.ส.เท่าเดิมเข้ามาทำหน้าที่ และรัฐมนตรีก็ได้แสดงบทบาทในฝ่ายบริหารไม่ทำหน้าที่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน
บางพรรคได้กำหนดว่าหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคไม่ต้องลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากต้องปฏิบัติหน้าที่ในสภาและประสานกับพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นๆ
แต่บางพรรคทำท่าจะไม่เอาแบบนี้เนื่องจากเมื่อไม่ได้เป็น ส.ส.แล้ว การเป็น “รัฐมนตรี” ก็ไม่มั่นใจว่าจะอยู่ได้ยาวแค่ไหน
เพราะถ้าหลุดเก้าอี้รัฐมนตรีก็ต้องหลุดจากเป็น ส.ส.ไปด้วย
เท่ากับว่าต้อง “ตกงาน” ไปโดยปริยาย
...
ที่เห็นอยู่คนหนึ่งก็คือโฆษกรัฐบาลคนใหม่ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ได้ประกาศลาออกจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้ง
ว่าไปแล้วด้วยเสียงสนับสนุนรัฐบาลในลักษณะปริ่มน้ำอย่างนี้ คนที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วก็ควรจะลาออกจาก ส.ส.โดยเฉพาะจากบัญชีรายชื่อ
เพราะเป็นการเปิดทางให้คนในพรรคจะได้เป็น ส.ส.แทนเป็นการเปิดเก้าอี้ให้คนในพรรคเดียวกันจะได้เข้าสู่สภา
ด้วยเสียงปริ่มน้ำอย่างนี้การทำหน้าที่รัฐมนตรีเพียงอย่างเดียวน่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นจริง
เวลายกมือสนับสนุนจะได้ครบถ้วน เพราะหากรัฐมนตรีติดงานอื่นจะได้ไม่มีปัญหา จะเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องเป็นกังวล
ที่สำคัญก็คือ การแสดงสปิริตในฐานะนักการเมืองพรรคเดียวกัน
อีกทั้งความไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองว่าจะทำหน้าที่รัฐมนตรีได้ดีแค่ไหน จะได้รับการยอมรับมากน้อยแค่ไหน
นั่นบอกว่าไม่มั่นใจทางการเมือง ไม่มั่นใจในพรรคการเมืองสังกัดว่าจะไปรอดหรือไม่ จะดำรงความเป็นพรรคได้ยาวนานแค่ไหน
จริงๆแล้วทั้งตำแหน่ง “รัฐมนตรี” และ “ส.ส.” ล้วนมีความ สำคัญทั้งนั้น
แต่ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและความรับผิดชอบ.
“สายล่อฟ้า”