ฉากสุดท้ายของ “ประยุทธ์ภาค 1” ล่าสุด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยอมรับเองว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นการประชุมนัดสุดท้าย

ก่อนจะมีรัฐบาลใหม่ “ประยุทธ์ภาค 2” ที่ว่ากันว่าจะเรียกประชุมทันทีหลังการถวายสัตย์ฯ

โชว์ฟอร์มฟิตจัด ไม่ต้องเสียเวลาฮันนีมูน

ที่แน่ๆโจทย์ร้อนต้อนรับ ครม.ใหม่ ประเดิมข่าวร้าย ตัวเลขติดลบ กับข้อมูลที่ “ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)” หั่นเป้าเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือร้อยละ 3.5 จาก 3.8

ปมเหตุหลักเพราะ “ผวา” ความไม่แน่นอนการเมืองในประเทศไทย กับสภาพของรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ 19 พรรค เสียงปริ่มน้ำเกินกึ่งหนึ่งแค่ 4-5 เสียง

สุ่มเสี่ยงมากกว่าปัจจัยระดับโลก สงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีนแผ่นดินใหญ่

ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์แต่อย่างใด ย้อนไปดูข่าวก่อนหน้านี้ จะเห็นว่ากัปตันทีมเศรษฐกิจอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ส่งสัญญาณเตือนมาแล้วบนหลายๆเวที ยืนยันตลอด 4-5 ปีของรัฐบาล “ประยุทธ์ภาค 1” ได้วางฐานเศรษฐกิจไทยจนฟื้นตัวมาแข็งแกร่งระดับหนึ่ง

แต่จุดเสี่ยง “พัง” อยู่ที่การเมือง ตามท้องเรื่องที่รู้สึกได้เศรษฐกิจแกว่งมาตั้งแต่เลือกตั้ง 24 มีนาคม

“สมคิด” อ่านสถานการณ์ข้ามช็อต เห็นก่อนที่เวิลด์แบงก์มองกับภาพวิกฤติไฟขัดแย้งคุโชนกลับมาใหม่ นักการเมืองกลับมาอาละวาด สถานการณ์วุ่นตั้งแต่การชิงจับขั้วรัฐบาล ฝุ่นกระจายมาจนถึงการแย่งโควตารัฐมนตรี

ตามสภาพรัฐบาลผสมที่โดนไฟต์บังคับ พรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยเข้ามาแย่งชิ้นปลามัน คุมกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ ทำให้การผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่วางไว้ เดินเครื่องไม่ได้เต็มไม้เต็มมือเหมือนรัฐบาล คสช.

...

แม้แต่ภายในพรรคพลังประชารัฐเอง เช็กวงในก็แตกออกเป็นก๊วน

โดยสถานการณ์แยกหัวจ่ายกันชัด วาล์วหลักๆ ของ “ปั๊มสามทหาร” อยู่ที่ “พี่ใหญ่” ที่เปิดบ้านพักในค่ายเรียก ส.ส.ไปรับค่าขนม เลี้ยงดู ส.ส.ในภาพรวมของพรรคมาตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง

ขณะ “วาล์วพิเศษ” ก็คือหัวจ่ายยี่ห้อ “ซัมมิต” ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ดูแล ส.ส.ในทีม “สามมิตร” ตามมาตรฐานยี่ห้อหัวจ่าย “ซัมมิต” ที่การันตีมาตั้งแต่อดีตรัฐบาลไทยรักไทย

เกาะติดกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แบบพร้อมไปไหนไปกัน

ส่วนอีกวาล์วหนึ่งที่กำลังเร่งโชว์พลังสะสมขุมกำลัง ทีม “สตาร์ตอัพท็อปบูต” ฝ่าย เสธ.ตึกไทยฯ ที่แท็กทีมแกนนำ กปปส. ดูแล ส.ส. กทม.ส่วนหนึ่ง และไล่เก็บตก ส.ส.น้องใหม่ไร้สังกัด ไม่มีลูกพี่

ตามรูปการณ์ที่ต่อเนื่องจากร่องรอยการไล่บี้โควตารัฐมนตรี อ่านเกม “ผู้คุมอำนาจ” ตั้งใจปั้นทีม “เสธ.ตึกไทยฯ” ผนึกกำลังกับทีม กปปส.ไต่เพดานบินมาบล็อกทีมสามมิตร

นัยว่า ปิดเกมเฮี้ยว บล็อกไม่ให้กุมสภาพการต่อรองมาก

แต่ลึกๆ ส.ส.ก็ยังให้น้ำหนักยี่ห้อ “สุริยะ” มากกว่า เพราะไม่ไว้ใจ “สตาร์ตอัพท็อปบูต” ประเภทที่รับมา 100 แต่จ่ายแค่ 60-70 เหมือนตอนเลือกตั้ง ทำให้ ส.ส.ที่เขี้ยวทันกัน ไม่ยอมตอบรับเข้าทีม “เสธ.ตึกไทยฯ”

นี่คือสภาพ “รอยต่อ” เชื่อมไม่มิด ที่แฝงอยู่ในค่ายพลังประชารัฐ

โครงสร้าง “กลวง” จุดเสี่ยง “สนิมเนื้อใน” ยังไงก็มีผลต่อความแกร่งของ “ประยุทธ์ภาค 2”

แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ โดยปรากฏการณ์แย่งกันเปิด “หัวจ่าย” ในพลังประชารัฐ มันก็ตรงกันข้ามกันเลย กับสภาพของทีม “นายใหญ่” ดูไบ ภายหลัง “เสี่ยเพ้ง” นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล แกนนำสายตรงดูไบ ประกาศวางมือทางการเมืองในวันเกิดครบรอบปีที่ 69

ปิดวาล์วยี่ห้อ “เกศินีวิลล์” ที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ “นายใหญ่” มายาวนาน

แถมยังต่อเนื่องกับกระแสข่าวเขย่าขวัญ “นกแล” และทีม ส.ส.เพื่อไทย อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ส่อตัดสินใจ “ล้างมือในอ่างทองคำ” โดยประกาศปิดคฤหาสน์ดูไบฉลองวันเกิดครบรอบ 70 ปีแค่คนในครอบครัว

“นายใหญ่” ปิดถ้ำเก็บตัว ปิดวาล์วท่อน้ำเลี้ยงโดยสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม อีกทางหนึ่งมันก็มีการจับความเคลื่อนไหวของ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เจ้าแม่เมืองเหนือ ขยับส่งสัญญาณลูกข่ายลุยยึดฐานการเมืองท้องถิ่นไว้ให้แน่น

เหมือนเริ่มรู้ตัว เดินหมาก “ผิดแผน” เสี่ยงฐานกำลังหดหาย

หลังปล่อยให้ทีมอนาคตใหม่ของ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะพันธมิตรต้าน คสช.ลุยกวาดแต้มในพื้นที่ทับซ้อน ก่อนปฏิบัติการ “ตีท้ายครัว” ทีม “ธนาธร” ประกาศลุยยึดสนามท้องถิ่น

แถมโดนใจ “แดงซ้ายจัด สายฮาร์ดคอร์” เพราะท่าทีชัดๆแรงๆ ต่อสถาบันถึงอกถึงใจกว่า

ดั่งปรากฏการณ์ “อีช่อ” ที่เบียดยี่ห้อ “ทักษิณ” เงียบไปจนน่าใจหาย

“มวลชนพันธุ์ใหม่สีส้ม” กำลังเบียดแทนที่กองทัพแดง “นายใหญ่”

ปัจจัยที่เพิ่มดีกรีความเสี่ยงทางการเมืองอีกหลายองศา.

ทีมข่าวการเมือง