"เชาว์" อัด รบ.ประยุทธ์ ล้มเหลว แก้ปาล์ม ทำราคาต่ำสุดรอบ 20 ปี ส่อเอื้อ เอกชน จ่อถลุง 1.5 หมื่นล้าน แจกเงินเที่ยวเมืองรอง กระทุ้ง พปชร.ดันแก้ปัญหา ระบุ 2 ขั้วการเมือง ทำเลือกตั้งกลายเป็นเลือกข้าง ปชช.เดือดร้อน ไม่แก้ไข

วันที่ 27 เม.ย. นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาปาล์มน้ำมันตกต่ำผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “ทุกข์ของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์ม พลเอกประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ ทำอะไร” ว่า ขอเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีพรรคพลังประชารัฐ เร่งแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ตามสัญญาที่พรรคพลังประชารัฐ ให้ไว้กับประชาชนว่า จะดันราคาปาล์ม ให้เกินกิโลกรัมละ 5 บาท แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐ จะยังไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลก็ตาม เพราะความทุกข์ของประชาชนรอไม่ได้ และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องเร่งแก้ไข โดยขณะนี้ราคาปาล์มตกต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี เหลือเพียงแค่ 1.8 บาท/กก. ต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว แต่ยังไม่เห็นความกระตือรือร้นของรัฐบาลนี้ ที่จะเข้าไปแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร หนำซ้ำยังมีแนวคิดไม่เข้าท่าจะใช้เงิน 15,000 ล้านบาท ไปแจกให้กับคนที่อายุ 18 ปี ขึ้นไป คนละ 1,500 บาทเพื่อไปเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ถือเป็นการใช้เงินแบบไม่ถูกจุด จัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายไม่ถูกต้อง เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ตลอด 5 ปี ในการบริหารประเทศของรัฐบาล คสช. ไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจฐานรากได้ ไม่ว่าจะเติมเงินเข้าไปมากเท่าไรก็ตาม เพราะเงินที่ถูกจ่ายออกไปกระจุกตัวอยู่กับบางกลุ่มไม่ได้กระจายไปสู่ประชาชนอย่างแท้จริง หนำซ้ำรายได้ของประชาชน มีแต่จะลดลง ตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ ชาวสวนยางและชาวสวนปาล์ม ที่บริหารล้มเหลวสิ้นเชิง

...

นายเชาว์ ระบุอีกว่า ช่วงปลายปี 61 รัฐบาล กำหนดมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์ม ด้วยการให้ซื้อน้ำมันปาล์มดิบ 1.6 แสนตัน ไปใช้ผลิตไฟฟ้าและนำไปผลิตไบโอดีเซล รวมถึงสนับสนุนใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 ตั้งเป้าหมาย 15 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 6 แสนตันต่อปี แต่น่าสังเกตว่า มาตรการนี้ไม่ได้ช่วยให้ราคาปาล์มน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น แต่ตรงข้าม คือ กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่ในขณะนั้นราคาอยู่ที่ 2.70 ถึง 2.80 บาท ล่าสุดเหลือแค่ 1.80 บาทเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลไม่ได้ผล ในทางตรงกันข้ามถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนหรือไม่ เช่น การชดเชยราคาให้กิโลกรัมละ 3.20 บาท แต่ต้องไปขึ้นทะเบียนเกษตรกร กำหนดคุณภาพน้ำมัน 18 เปอร์เซ็นต์จึงจะขายได้ราคาดังกล่าว หากเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าที่กำหนด ก็จะขายได้ในราคาเพียงแค่ 1.90-2.00 บาท เท่านั้น ในขณะที่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ได้ส่วนต่างเต็มจำนวน จากที่รับซื้อจากเกษตรกร เช่นเดียวกับการกำหนดเงื่อนไขรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพื่อไปผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง ในราคากิโลกรัมละ 18 บาท แต่ต้องขนส่งทางเรือเท่านั้น ซึ่งในประเทศนี้มีเอกชนเพียงรายเดียว ที่มีเรือขนส่งน้ำมันปาล์ม ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ขาดความจริงใจในการช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร และส่อเอื้อประโยชน์ให้ บ.เอกชน มากกว่าการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งเข้าไปพยุงราคารับซื้อที่ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม

"ผมเห็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ประกาศจะทำทุกวิถีทางเพื่อจัดตั้งรัฐบาลก็อยากให้ใช้ความกระตือรือร้นในแบบเดียวกับที่ต้องการเข้าสู่อำนาจ มาผลักดันแนวทางแก้ปัญหาให้กับชาวสวนปาล์มแบบเร่งด่วนด้วย เพราะทุกข์ของเกษตรกรรอคอยไม่ได้ อีกทั้งรัฐบาลชุดนี้มีอำนาจเต็ม สามารถอนุมัติงบประมาณได้ โดยไม่ติดเงื่อนไขข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ ก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่เช่นนั้น คนอาจเข้าใจว่า รัฐบาลพร้อมใช้อำนาจพิเศษ ไปเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่ด้านโทรคมนาคม แต่กลับเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของเกษตรกร ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 2 ขั้วการเมือง ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นการเลือกข้าง จนเกิดการเผชิญหน้าที่รุนแรงขึ้นมาแล้ว หลังเลือกตั้งถ้ายังอยากจะเผชิญหน้ากันต่อ ก็ให้หยุดอยู่แค่แวดวงการเมือง ขณะที่คนทำงานการเมือง ต้องไม่ลืมภาระหน้าที่ที่มีต่อประชาชน เพราะการเลือกตั้งต้องให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นลำดับแรก ไม่ใช่แค่เวทีการผลัดเปลี่ยนผู้มีอำนาจเท่านั้น" นายเชาว์ ระบุ