วันนี้ ชื่อของ “กรณ์ จาติกวณิช” กลายเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง ในฐานะตัวเต็งหัวหน้าพรรคคนใหม่ของ "ประชาธิปัตย์" โดยมีผู้คนจำนวนมากติดแฮชแท็กให้กำลังใจพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้คำว่า “หัวใจสีฟ้า” และ “1ใน3ล้าน9”

เรื่องราวชีวิตมุมเล็กมุมน้อยของ “กรณ์ จาติกวณิช” ไม่ค่อยถูกประชาชนพูดถึงบ่อยครั้งเท่าใดนัก หากเทียบกับแกนนำพรรคคนอื่นๆ ของประชาธิปัตย์ ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ไล่เรียงเรื่องราวที่หลายคนไม่เคยได้รู้ของ “หล่อโย่ง” กรณ์ จาติกวณิช อดีตขุนคลังแห่ง ปชป.

กรณ์ จาติกวณิช หนุ่มหล่อลูกรักของ ไกรศรี จาติกวณิช อดีตอธิบดีกรมศุลกากร และเป็นหลานชายของลุงเกษม จาติกวณิช ผู้ว่าการคนแรกของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

กรณ์ เคยเล่าถึงคุณลุงคนดังผู้นี้ว่า “ผมกับลุงเกษมมีความสนิทสนมในระดับหนึ่ง เพราะในฐานะที่ท่านเป็นพี่คนโต สมัยพวกหลานๆ เรียนหนังสืออยู่ ท่านจะบอกว่าใครสอบได้ที่ 1 ให้เอาสมุดพกไปยืนยัน แล้วท่านจะให้ 100 บาท สอบได้ที่ 2 ได้ 50 บาท ซึ่งเยอะมาก สมัยนั้นสอบเทอมละ 1 หน ปีหนึ่ง 3 หน ผมสอบ 15 ครั้ง ได้ที่หนึ่ง 14 ครั้ง ท่านก็จะโวยวายทุกทีว่า มาอีกแล้วเหรอวะ แซวประสาผู้ใหญ่

...

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมสอบได้ที่ 2 เพราะผมลืมพลิกกระดาษข้อสอบ มันมีคำถามอยู่ด้านหลังด้วย ครั้งนั้นได้ที่ 2 ด้วยความละอายผมไม่ไปเอาเงิน 50 บาท ใครไปบอกลุงเกษมไม่รู้ จู่ๆ แกก็โทรมาถามว่า ทำไมไม่เอา ผมก็บอกว่า ผมผิดหวังไม่ได้ที่ 1 แกเลยเรียกไป บอกว่า คนเราต้องหัดแพ้

กรณ์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และเริ่มงานที่ S.G.Warburg & Co.Ltd.Merchant Bank ที่กรุงลอนดอน ร่วม 3 ปี

จากนั้น กรณ์ บินกลับบ้านเกิด และได้รับการทาบทามจาก “ปิ่น จักกะพาก” ให้เข้าไปช่วยงานที่บริษัท หลักทรัพย์เอกเอเชีย แต่ด้วยความคิดที่อยากจะสร้างธุรกิจเป็นของตนเอง จึงปฏิเสธงานนี้ไป

จากนั้น กรณ์ ได้เข้าร่วมก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง โดยรับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ซึ่งเป็นที่ฮือฮากันมากในสถาบันการเงิน ณ เวลานั้น เพราะเขาเป็นผู้บริหารที่มีอายุน้อยที่สุดในระดับของผู้บริหารสถาบันการเงินทั่วๆ ไป เพราะกรณ์มีอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น

กระทั่ง กรณ์ สามารถพิสูจน์ให้คนในวงการรับรู้ว่าอายุไม่สำคัญเท่ากับความมุ่งมั่นตั้งใจ เพราะต่อมา บริษัทของเขาเติบโตได้เป็นอย่างดี ในปี 2536 เขาแจกโบนัสให้กับพนักงานถึงคนละ 36 เดือน และกรณ์ ยังถูกยกย่องให้เป็นโบรกเกอร์แถวหน้าของเมืองไทย เรียกได้ว่า ครบสูตรสำเร็จ รูปหล่อ พ่อรวย มากความสามารถ

ถอดสูทนักธุรกิจ ทิ้งเงินเดือน 4 ล้าน ลงสมัคร ส.ส.

ต่อมา กรณ์ ตัดสินใจทิ้งเงินเดือน 4 ล้าน และรายได้อีกปีละ 40 กว่าล้านบาท กระโดดเข้าสู่เส้นทางทางการเมือง โดยถูกวางตัวลงสมัครในพื้นที่ กทม.เขต 7 ยานนาวา-สาทร ชนกับ “บรู๊ค” ดนุพร ปุณณกันต์ ที่มีกระแสดารายอดนิยมและพรรคไทยรักไทยช่วยส่ง จนสื่อหลายแขนงยกให้เป็นพื้นที่ที่น่าติดตามที่สุด!

ผลการเลือกตั้งออกมา กรณ์ สามารถเอาชนะคู่แข่งด้วยคะแนนนำห่าง 7,000 คะแนน ได้รับฉายาจากสื่อการเมืองว่า “หล่อโย่ง” สูง 193 เซนติเมตร (อภิสิทธิ์-หล่อใหญ่, อภิรักษ์-หล่อเล็ก) และถูกจัดเป็นเลือดใหม่ของประชาธิปัตย์ ที่ถูกมองว่า ในอนาคตเขาจะต้องเป็นดาวทางการเมืองคนสำคัญแน่นอน

สัมพันธ์รัก สุดแนบแน่น “กรณ์-มาร์ค”

ขณะเดียวกัน ผู้คนในแวดวงการเมืองต่างรู้ดีว่า “กรณ์-อภิสิทธิ์” รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็น “เด็กชาย” แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า สมัยเยาว์วัย ทั้ง 2 คนต่างมองกันและกัน “เป็นศัตรู” เนื่องจากโรงเรียนสาธิตปทุมวันของ “ด.ช.กรณ์” หรือชื่อเล่น “ดอน” เป็น “คู่แข่ง” กับโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ของ ด.ช.มาร์ค

เมื่อเข้าเรียนปริญญาตรีสาขาปรัชญา การเมือง เศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด “กรณ์-มาร์ค” เพิ่งจะได้มาสนิทสนมกัน เพราะเป็น “นักเรียนไทย” เพียง 2 คนในออกซฟอร์ด

“ครั้งแรกที่เห็นคุณอภิสิทธิ์ รู้สึกเลยว่าตัวเล็กมาก เจอกันในสนามฟุตบอล แล้วก็มาเจออีกทีตอนอยู่ออกซฟอร์ด เพราะห้องพักอยู่ใกล้กัน เปิดหน้าต่างมาก็เจอกันพอดี คุณอภิสิทธิ์จะนอนตอนตีสอง ส่วนผมต้องตื่นตีห้าไปฝึกพายเรือ ก็เหมือนแตะมือกันพอดี” กรณ์ บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นความผูกพันของเพื่อนสนิท

เมื่อครั้ง “มาร์ค เวชช์”(ชื่อที่เพื่อนฝรั่งเรียกอภิสิทธิ์) ลงสมัครประธานนักเรียน หัวคะแนนมือสำคัญ คือ “กรณ์” นั่นเอง เพราะด้วยความที่กรณ์เป็นนักกีฬา จึงมีความป๊อบปูล่าในหมู่เพื่อนฝูง และส่งผลให้ “อภิสิทธิ์” ขึ้นเป็นผู้นำนักเรียนได้สมใจ

ด้วยความที่ทั้งคู่สนิทสนมแนบแน่นกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย นานกว่า 30 ปี ถึงขนาดที่เรียกกันว่า “อั๊ว-ลื้อ” แต่พอได้มาอยู่พรรคเดียวกัน ทำให้เขาทั้งคู่ พูดคุยหารือกันแบบฝืนธรรมชาติ

“เราไม่เคยยกมือไหว้เขา ผมเคยเผลอยกมือไหว้ทีนึง คุณอภิสิทธิ์เลยถามว่า ไหว้กูทำไมวะ” จบคำ กรณ์ หัวเราะดังลั่น

อย่างไรก็ดี ในปี 2553 นิตยสาร เดอะ แบงก์เกอร์ ของอังกฤษ ที่อยู่ในเครือของ ไฟแนนเชี่ยล ไทม์ส ได้ยกย่องให้ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของไทย เป็นรัฐมนตรีคลังโลกและเอเชีย-แปซิฟิก ประจำปี 2010 อันเนื่องมาจากผลงานอันโดดเด่นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทั้งความกล้าในการตัดสินใจและใช้นโยบายที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างได้ผล และทำให้เศรษฐกิจที่ตกต่ำสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และยังปูพื้นฐานไปสู่การเติบโตในอนาคตอีกด้วย.