"พิชัย" ชี้ ไทยขึ้นอันดับ 1 เหลื่อมล้ำ ย้ำชัดรัฐบาลบริหารล้มเหลว เย้ยแจกเงินไม่ได้ทำรายได้ประชาชนเพิ่มขึ้นถาวร ซัดใช้งบเปล่าประโยชน์ เอาเงินภาษีมาแจกเหมือนซื้อเสียง เชื่อคนลำบากมา 4 ปี อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง...
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า ตามที่ The Credit Suisse Global Wealth Report 2018 ระบุ คนไทย 1% ถือครองความมั่งคั่ง หรือมีทรัพย์สินรวม 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก หลังจากเคยได้อันดับ 3 เมื่อ 2 ปีก่อน ที่คนไทย 1% ถึงครองความมั่งคั่ง 58% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ โดยไทยได้แซงรัสเซียและอินเดียที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ดีขึ้น แต่ไทยกลับแย่ลง
ทั้งนี้ ก่อนจะรัฐประหาร อันดับความเหลื่อมล้ำของไทยอยู่อันดับที่ 11 แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งบริหารคนรวยยิ่งรวยขึ้น และคนจนกลับยิ่งจนลงมาโดยตลอด เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา นอกจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะต่ำมาก โดยเฉลี่ยโตปีละแค่ 2% กว่า และต่ำที่สุดในอาเซียนแล้ว รายได้ที่เพิ่มขึ้นน้อยอยู่แล้ว ยังไปกระจุกตัวอยู่กับคนรวยเท่านั้น
"ขนาดสื่อต่างประเทศ เช่น บีบีซี ยังระบุว่า 96% ของรายได้ที่เพิ่มขึ้นตกอยู่กับคนเพียง 1% เท่านั้น ยิ่งตอกย้ำปัญหา รวยกระจุก จนกระจาย ที่รัฐบาลพยายามจะปฏิเสธมาตลอด และยังแสดงให้เห็นอีกว่า โครงการประชารัฐที่รัฐบาลจัดให้บริษัทใหญ่เข้ามาร่วมช่วยเหลือประชาชนรายได้น้อย ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะกลับกลายเป็นว่าบริษัทใหญ่กลับรวยยิ่งขึ้น ในขณะที่ประชาชนกลับยิ่งจนลง"
นอกจากนี้ การแก้ปัญหาของรัฐบาลโดยการแจกเงินไม่ได้ช่วยให้ความเหลื่อมล้ำลดลง เพราะไม่ได้ทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างถาวร เป็นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ และหมดสมัยแล้วกับแนวคิดที่เป็นเหมือนแบบการให้ทาน ประชาชนต้องการโอกาสในการหารายได้ที่มั่นคง ทั้งที่รัฐบาลมีโอกาสสร้างรายได้อย่างมั่นคงให้กับประชาชนมากว่า 4 ปี แต่กลับไม่ทำอะไร ปล่อยให้ประชาชนลำบากกันอย่างมากมากว่า 4 ปี และเพิ่งจะมาแจกเงิน โดยหวังว่าประชาชนจะดีใจที่ได้รับแจกเงินในยามยากลำบาก ทั้งๆ ที่ความยากลำบากน่าจะเกิดมาจากการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลเอง แถมยังเอาเงินภาษีของประชาชนมาแจกเสมือนหนึ่งเป็นการซื้อเสียง เพื่อหวังจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง และอาจจะต้องมาเก็บภาษีเพิ่มจากประชาชนเพื่อมาชดเชยเงินที่แจกไป
...
ทั้งนี้เชื่อว่าประชาชนลำบากกันอย่างมากใน 4 ปีกว่าที่ผ่านมา และคงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งมีแนวทางการกำจัดการผูกขาดให้หมดไปเพื่อสร้างโอกาสให้กับคนทั้งประเทศ.