นาทีนี้ เป็นนาทีฉุกเฉินที่ พรรคการเมืองทุกพรรค จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อลงสนามเลือกตั้ง ซึ่งทุกพรรคพยายามจะปากแข็งส่งผู้สมัครลงครบ 350 เขต แต่ถึงเวลาจริงๆ โอกาสที่ พรรคเล็ก จะส่งครบทุกเขตคงเป็นไปไม่ได้ แค่ส่ง ส.ส.ให้ครบ 4 ภาคตามที่กฎหมายกำหนดก็หืดขึ้นคอแล้ว
เวลาในการหาเสียง จะถึง 60 วันหรือไม่นับไปจนถึงวันที่ 24 ก.พ.2562 ก็เป็นอีกเรื่อง รวมทั้งเรื่อง แบ่งเขตเลือกตั้ง พรรคการเมืองต้องปลงให้ตก มีเลือกตั้งดีกว่าไม่มี โดยเฉพาะคนที่เป็น นักการเมืองมืออาชีพ อดอยากปากแห้งมาหลายปี ถ้าให้ตกงานต่อไปอีก คงเฉาปากตายพอดี
อดีต ส.ส.หลายคนชาวบ้านก็ลืมไปแล้วเพราะเราว่างเว้นจากการเลือกตั้งมา 7 ปี แฟนคลับหลายคนคงอยู่รอไม่ไหว ยิ่งเด็กรุ่นใหม่ไม่มีใครรู้จัก อดีต ส.ส.หลายคนอายุอานาม 70-80 ปี เริ่มจะแพ้สังขารสู้คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงไม่ได้ โดยเฉพาะหน้าตานักการเมืองรุ่นใหม่ต้องเอาสวยเอาหล่อไว้ก่อน เรื่องสมองเรื่องประสบการณ์เป็นอันดับรอง
อย่าลืมว่าการเลือกตั้ง แบบสัดส่วนผสม ที่คนร่างรัฐธรรมนูญอ้างว่า ทุกคะแนนต้องมีความหมาย แตกต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา จากพรรคเดียวเบอร์เดียวเป็นพรรคเดียวหลายเบอร์ พรรคเดียวกันจังหวัดเดียวกันแต่คนละเขต ก็คนละเบอร์ หัวหน้าพรรคการเมืองไม่ต้องแหกตาตื่น ไม่ต้องรอจับสลากให้เมื่อยตุ้ม ได้เบอร์ไหนก็เบอร์นั้น เผอิญว่า มีพรรคการเมืองที่ประกาศจะลงสมัครเลือกตั้ง 80-90 พรรค คนที่ได้เบอร์เลขสองตัว คงเสียเปรียบยิ่งกว่า การแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่ออกมาร้องโวยวายกันเสียอีก
เข้าใจว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ชาวบ้านคงปวดขมองพอสมควรเพราะแต่ละพรรคการเมืองสัญญาว่าจะให้โน่นให้นี่ จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้กฎหมาย ออกนโยบายสารพัดรูปแบบ ทั้งประชานิยม ประชารัฐ มหานิยม ไทยนิยม จำไม่หวาดไม่ไหว หลังเลือกตั้งเสร็จแล้วก็จะเป็นอีกอารมณ์
...
การเมืองก็ว่ากันไป เศรษฐกิจก็ว่ากันไป แต่คาดกันว่าเงินทองจะสะพัดในช่วงเลือกตั้งที่ถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถึงมือรากหญ้ามากที่สุด นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า จะทำให้มีเม็ดเงินจากการหาเสียงหมุนเวียน ประมาณ 3-4 หมื่นล้าน และ การเลือกตั้งท้องถิ่น คาดจะสะพัดอีกประมาณ 4 หมื่นล้าน รวมๆแล้วก็เกือบแสนล้านบาท โดยทุกแสนล้านบาท จะทำให้ จีดีพี โตขึ้นประมาณร้อยละ 0.7 ยังไม่รวมกับ งบประมาณภาครัฐ ที่ใช้ในการเลือกตั้ง ส.ส.อีกประมาณ 5 พันล้าน เลือก ส.ว.อีกประมาณ 1.3 พันล้าน
คิดกันขำๆ ถ้าเศรษฐกิจจะโตร้อยละ 0.7 ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจริง ประเทศไทย ไม่ต้องทำอะไรมาก จัดเลือกตั้งปีละครั้ง 4 ปีเศรษฐกิจโตชัวร์ร้อยละ 2.8 คนชั้นฐานราก ประเทศยังมีโอกาสลืมตาอ้าปากจากสารพัดนโยบายลดแลกแจกแถม มีเงินสดฝากเข้าบัญชีธนาคารให้อุ่นกระเป๋าอีกต่างหาก โดยไม่ต้องออกแรงให้เมื่อยตุ้ม เพราะทุกคะแนนมีความหมาย
ทั่วโลกอาจจะรุมประณามว่าประชาธิปไตยเมืองไทยยังล้าหลังมีการซื้อสิทธิขายเสียงก็อย่าไปสนใจ ฟังหูไว้หู ส่วนที่ไปโฆษณากันเอาไว้ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก็อย่าไปจริงจังอะไรมาก.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th