กลับมาอีกครั้ง สำหรับ การเมืองเดอะซีรีส์ คราวนี้เป็นคิวของ คุณหญิง ดร.สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไป 5 ปี แต่หายจากเวทีการเมืองร่วม 10 ปี
วันนี้เธอกลับมาแล้ว ภายใต้หลังคาที่บ้านหลังเก่า แค่เปลี่ยนชื่อใหม่จาก “ไทยรักไทย” สู่พรรค “เพื่อไทย” จนหลายคนจับตามอง...
และไม่รอช้า ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอถึง “บ้านลาดปลาเค้า” ซอย 60 ซึ่งเนื้อหาของ “การเมือง The Series ชุดนี้รับรองว่าเข้มข้นอย่างแน่นอน เชิญชมกันได้เลย...
เรื่องเล่าอมยิ้ม สมัยหาเสียงใหม่ๆ กับการกิน ซกเล็ก ลาบเลือด ครั้งแรก
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เล่าเรื่องราวในอดีตสมัยยังสาวช่วงที่ช่วยพ่อหาเสียงใหม่ๆ ว่า พ่อเป็นนักการเมืองและเราถูกเลี้ยงมาแบบลูกผู้ชาย พ่อจะให้ทำงานทุกอย่างตั้งแต่เด็ก ตอนช่วยหาเสียงครั้งแรก จำได้ว่าไปหาเสียงที่ อ.โนนสูง พบว่าน้ำยังไม่ค่อยไหล ไฟฟ้าไม่มี ถนนก็ยังไม่ทั่วถึง โรงเรียนก็ไม่มี เราเห็นว่าเด็กไม่มีที่เรียน เพราะต้องไปเรียนไกลมาก จึงอยากที่จะให้มีการก่อตั้งโรงเรียน ซึ่งจะตั้งเลยก็ไม่ได้ จึงต้องขออนุญาต ตั้งงบประมาณ ระดมทุนจากเอกชน ผลักดันจนสามารถตั้งโรงเรียนสำเร็จ ทำให้ช่วยเหลือเด็กๆ หลายหมู่บ้านได้เรียนตรงนั้น
...
วันหนึ่งพ่อได้พาไปค้างแรมที่บ้านชาวบ้าน ไปกินซกเล็ก ลาบเลือดครั้งแรก...
สาวหน่อย สาวหน้าใหม่วงการการเมืองไทย เล่าเรื่องราวสมัยนั้นแบบอมยิ้ม เมื่อนึกถึงความหลังว่า
“ตอนนั้นยังเด็กมาก พ่อบอก “กินสิ” เราก็ไม่ยอม...
“กินสิ...” ก็ไม่ยอมอีก
“ลูก...ชาวบ้านเขากินได้ วันหนึ่งลูกโตขึ้นมาก็ต้องกินได้...”
คือพ่อพยายามเกลี้ยกล่อมแกมบังคับให้เรากิน เราจึงยอมกินทั้งลาบเลือด ซกเล็ก
ยังไม่จบ...แล้วคืนนั้นก็ไปนอนที่แคร่ ไม้ไผ่ที่ทำแคร่ ด้วยที่เราตัวเล็กพลิกตัวนิดไม้ก็หนีบก้น (หัวเราะลั่น) ยังจำได้อยู่เลย
คุณหญิงหน่อยเล่าความทรงจำที่ยังอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่หอมหวาน... "เพราะแบบนี้แหละเลยทำให้ “คุณพ่อคือฮีโร่ อยากจะทำงานมุ่งมั่นแบบท่าน”
บททดสอบแรกชีวิตการเมือง เป็น ส.ส.ไม่กี่เดือน ถูกปารองเท้าใส่ เผชิญหน้าบิ๊กสุ ช่วงพฤษภาทมิฬ
คุณหญิงสุดารัตน์ เล่าต่อไปว่า ด้วยที่คุณพ่อรู้จักคนเยอะ จึงแนะนำให้เรามาอบรมเรื่องการเมือง กระทั่งได้เข้ามาทำงานกับ “พรรคพลังธรรม” ตอนอายุ 30 ปี พออายุ 35 ได้เป็น ส.ส.ครั้งแรก เป็น ส.ส. ได้แค่ 2 เดือน เกิดพฤษภาทมิฬ...
ตอนนั้นเราก็อยู่ในม็อบ ถือว่าเป็นเด็กมาก เขาให้เราทำหน้าที่อะไรเราก็ทำ แต่เขามอบหน้าที่ให้เราปราศรัยเวลาจะย้ายม็อบ (ยิ้ม...หัวเราะ)
นี่คือบทเรียนที่จำจนถึงวันนี้ว่า เวลาใครให้ไปย้ายม็อบ ห้ามรับงานเด็ดขาด เพราะเวลาผู้ใหญ่เขาปลุกม็อบแล้ว อารมณ์คนยังค้าง อยากจะฟังต่ออยู่ต่อ... พอเราประกาศย้ายเท่านั้นแหละ “รองเท้า” มาเต็มเลย เพราะเขาไม่อยากไป แต่ก็มีความจำเป็นต้องย้าย เราเองรู้สึกเข้าใจเขานะ เพราะทางราชการขอความร่วมมือเพราะต้องใช้สถานที่
“พี่ๆ หยุดก่อนนะ คืนนี้ไม่มีปราศรัยนะ... พูดแบบนี้ไปก็โดน!! (เน้นเสียง)”
กลัวไหม พฤษภาทมิฬ ก็ค่อนข้างแรงมาก คุณหญิงหน่อย กล่าวว่า ไม่กลัว เพราะถือเป็นสมัยแรก เราทำงานเดือนเดียว ก็ได้รับตำแหน่งสำคัญ โดยท่านจำลอง ศรีเมือง ให้เราถือสารไปเจรจา นายกฯ สุจินดา คราประยูร แบบนี้สำคัญไหม ไปนั่งเจรจาขอให้... ออกเถอะ! ไปนั่งเจรจาอยู่เป็นชั่วโมง
ถามว่าเราเดินถือสารเข้าไปรู้สึกอย่างไร คุณหญิงหน่อย กล่าวว่า ด้วยที่เราเป็นคนที่โตเกินอายุ ถามว่ากลัวไหม..ไม่กลัว แต่เราไม่คิดว่าใครเป็นศัตรู ถ้าเราจะปกครองในระบอบประชาธิปไตย เราก็ต้องเป็นประชาธิปไตยเต็มที่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแฝง ซึ่งอารมณ์ของประชาชนไม่ยอม เราไปสื่อสารกับเขาว่า “ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว” ว่าเราไม่ชอบเขาชื่อนี้นามสกุลนี้ แต่มันคือเรื่องของระบบ ว่าประชาชนต้องการระบอบประชาธิปไตย เพราะประเทศที่เสรีคือ โอกาส! ของคน
“ตอนนั้นนายกฯ (พล.อ.สุจินดา คราประยูร) เขาก็บอกว่า เขาจะอยู่อีกไม่นาน ทำให้บ้านเมืองดีขึ้นอีกหน่อย...เหมือนกับตอนนี้ เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสกว่าเราถึงไม่ทำหน้าที่นี้ เพราะเรานอกจากจะถือสารแล้วยังต้องเข้าเจรจาเป็นชั่วโมง...พลังของประชาชนกำลังขึ้นมา..ปัญหากำลังจะเกิด ในขณะที่ ท่าน (พล.อ.สุจินดา) ก็น่ารัก พูดดี ไม่ได้ก้าวร้าว เราก็ไม่ได้ก้าวร้าว ท่านก็พูดจาแบบผู้ใหญ่ดี แต่ด้วยที่ว่าเหมือนคนอยู่คนละมุม จึงทำให้มองไม่เห็นกัน...”
เมื่อมองคนละมุม จากนั้นท่านจำลอง ก็เริ่มอดอาหาร ม็อบก็เริ่มแรงขึ้น เรียกว่าตอนนั้นกินนอนในถนนมากกว่าอยู่ในสภา...
ชีวิตเปลี่ยนหลังถูกตัดสิทธิ์ ไร้สายจากแดนไกลชวนรีเทิร์นการเมือง
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เล่าว่า หลังจากถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็ถือว่าชีวิตได้เปลี่ยน เพราะเมื่อก่อนเป็นคนบ้างาน ทำงาน เพราะเป็นคนที่ทำงานตั้งแต่เด็ก และเข้ามาสู่การเมือง ตั้งแต่อายุ 30 ปี บ้างานมาตลอด 20 ปี พอเกิดปฏิวัติ ก็มีโอกาสได้ทำอะไรที่อยากทำ เช่น มีเวลาได้ดูแลคุณพ่อคุณแม่ หลังจากดูแลแม่ 2 ปี คุณแม่ก็ป่วยหนัก เท่ากับเราต้องดูแลแม่ ประมาณ 3 ปี คุณแม่ก็จากไป ซึ่งช่วงนี้เองเป็นช่วงได้ศึกษาธรรมะ แม้เด็กๆ จะเรียนโรงเรียนคริสต์ แต่เราก็นับถือพุทธ สวดมนต์เป็น แต่พอคุณแม่ป่วยเราก็ได้รับหนังสือจากญาติๆ เพื่อมาอ่านหรือสวดมนต์ให้กับคุณแม่ เมื่อก่อนเราอาจจะท่องได้แต่เราไม่เข้าใจภาษา เพราะเป็นคำภาษาบาลี แต่เมื่อเริ่มศึกษาอย่างจริงจังก็ทำให้เข้าใจ...
“แต่หลังจากคุณแม่เสีย...ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับคุณแม่ให้เราเกิดถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก...คือเราได้มีโอกาสลืมตาเกิดมาบนโลก ส่วนครั้งที่ 2 คือ ปีนั้นทั้งปีได้โอกาสอ่านจากหนังสือ และเสิร์ชหาข้อมูลจากกูเกิล ดังนั้น ความรู้สึกคือ เราได้โอกาสเกิดอีกครั้งเพราะได้ค้นพบพระพุทธศาสนา ได้เรียนรู้และศรัทธาจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่องจำ”
จากนั้นได้มีโอกาสเข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จนจบปริญญาเอกด้านพุทธศาสตร์ เหมือนเป็นการเติมพลังตัวเองจนมีความสำเร็จ
ทำไมตัดสินใจกลับมาเล่นการเมือง คุณหญิงสุดารัตน์ เล่าว่า เราหยุดการเมือง โดยการถูกตัดสิทธิ์ และได้คืนสิทธิ์ในปี 2555 ตอนนั้นสามารถลงเลือกตั้งได้ มาดำรงตำแหน่งการเมืองได้แล้วเช่นกัน ซึ่งตอนนั้นมีการเลือกตั้งสมัยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ แต่เลือกที่หยุดทางการเมือง เพราะ...
“ส่วนตัวอิ่มตัวทางการเมือง ทำงานมาเยอะ เรื่องใหญ่ๆ เช่น สาธารณสุข หลักประกันสุขภาพทั่วหน้า เรื่องผังเมือง ก็เป็นคนวางทั้งหมด เป็นคนวางเครือข่ายรถไฟฟ้า หรือทางด่วนที่ใช้ทุกวันนี้ แต่...ตอนนั้นเรากำลังทำงานเรื่องบูรณสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ไม่อยากให้เอา 2 เรื่องมาปนกัน พอจะเข้าการเมือง มีคนรักและเกลียด ถึงแม้จะตั้งใจทำดีแต่ก็อาจจะถูกโยงให้เสียหาย สำหรับคนที่ไม่ชอบเราและห้ามไม่ได้ ตอนนั้นเราทำเรื่องศาสนาในหลายโครงการมีการอบรมสัญจรหลายที่ ไม่อยากให้คนมองว่าเราจะกลับมาทำงานการเมือง ก็เลยไม่เข้าการเมือง"
ยันไม่เคยคิดตั้งพรรค ย้ายพรรค หรือกลับมายิ่งใหญ่
คุณหญิงสุดารัตน์ ยืนยันว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยคิดที่จะตั้งพรรค ย้ายพรรค หรือกลับมายิ่งใหญ่ เราแค่แสดงตัวว่ายังอยู่ที่เดิม แท้ที่จริงแล้ว เราสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่...ไม่มีชื่อ ด้วยที่เกิดปัญหาอะไรก็ไม่ทราบ ตอนนั้นอาจจะใบสมัครพลาดหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ซึ่งก็มีหลายคนอาการแบบพี่ เราก็เลยไปสมัครในองค์กรที่มีอยู่แล้ว
ส่วนตัวไม่รู้มาก่อนว่าไม่มีชื่อ เพิ่งจะรู้เมื่อเร็วๆ นี้ ก่อนจะมีข่าว เราก็ไม่เข้าใจว่ามันจะพลาดยังไง ซึ่งก็มีเพื่อนในพรรคหลายคนที่ไม่มีชื่อ ซึ่งอาจจะผิดพลาดช่วงขั้นตอนส่งชื่อให้ กกต.หรือเปล่า แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้คิดมากอะไร
"ช่วงที่เราถูกตัดสิทธิ์ เราจะพยายามวางจุดยืนให้รู้กาลเทศะ เหมือนบริษัทนี้ องค์กรนี้เราเคยเป็นพนักงาน แต่เราเกษียณมาแล้วเพราะถูกตัดสิทธิ์ แต่เราก็ถือว่าเป็นศิษย์เก่า แต่ไม่เคยคิดว่าจะตั้งพรรคใหม่หรือย้ายพรรค เราเติบโตจากพลังธรรมก็อยู่ในซีกประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง การสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยคือการทำพิธีกรรมให้ครบตามกฎหมาย เราอยู่ตรงนี้อยู่แล้วไม่ได้ไปไหน”
มีใครโทรมาจากต่างประเทศเพื่อชวนหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ ตอบทันทีว่าไม่มีๆ
การเมืองต้องเปลี่ยน บรรยากาศขัดแย้งควรหมดไป
บรรยากาศการเมืองเปลี่ยนไปหรือไม่ หลังจากกลับมาคราวนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ถอนใจ กล่าวว่า “อยากให้เปลี่ยน การเมืองต้องปรับและเปลี่ยน เราเห็นแล้วว่าปัญหาการเมือง ความแตกแยกทางความคิด โดยการใช้อารมณ์มากกว่าการไตร่ตรอง กลายเป็นรักเกลียดโดยไม่มีเหตุผล...ข่าวที่ออกมา ก็บอกว่าใส่เสื้อผิดสีก็ถูกตี
ถึงตอนนี้ทุกคนเริ่มเห็นแล้วว่า เราต้องปรับตัวเอง ฝ่ายประชาชนผู้สนับสนุนทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะองค์กรการเมือง ต้องทำหน้าที่ที่ตัวเองอาสา นักการเมืองคือคนที่อาสามาทำงาน โดยต้องเป็นนักบริหารมืออาชีพ พร้อมที่จะถูกตรวจสอบได้ เราอยากเห็นแบบนั้น ไม่อยากกลับไปในบรรยากาศเก่าๆ
“พวกเราเองในฐานะนักการเมืองอาสามาทำงาน โดยอาศัยโครงสร้างประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประเทศเลือกระบบนี้ในการปกครอง องค์กรการเมืองเป็นตัวทำงาน ดังนั้น จึงต้องทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งและต่อเนื่อง เป็นโอกาสของประชาชนอย่างแท้จริง มันคือ หน้าที่ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตย และปกป้อง ไม่ให้มีการปฏิวัติสะดุด ประชาธิปไตยบ้านเรา 80 ปี ไม่ได้เดินไปถึงไหน คือ เหมือนกับชีวิตเรา เราทำผิดพลาด ล้มลุกคลุกคลาน เราต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขด้วยตัวเอง แต่ประชาธิปไตยไทย เกือบจะล้ม...แล้วมีคนเข้ามา บอกไม่ต้องเดินต่อ เดี๋ยวช่วงนี้ฉันทำให้”
นักการเมืองหญิงที่มีประสบการณ์โชกโชนในเวทีการเมืองกว่า 30 ปี กล่าวเน้นย้ำว่า ประชาธิปไตยไทยถูกตัดตอนด้วยการปฏิวัติมาอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยประมาณ 4 ปีครั้ง เราไม่มีโอกาสพัฒนาและลองผิดลองถูกและเรียนรู้ เพื่อแก้ไขให้มันมั่นคงเหมือนกับประเทศอื่นที่เป็นประชาธิปไตย แล้วสามารถนำโอกาสและความเจริญในแบบวิถีประชาธิปไตย โอกาสจะต่อยอดไปสู่เงินในกระเป๋า ความสุขในใจ สู่สิ่งแวดล้อมที่ดี
หน้าที่คือ 1. นักการเมือง พรรคการเมือง ต้องรักษาประชาธิปไตย ไม่ให้เกิดการปฏิวัติ แม้จะไม่มีปืน จะห้ามปืนไม่ได้แต่ก็ต้องห้าม ตัวต้องไปขวางกระสุนก็ต้องไป แต่...อย่าสร้างเงื่อนไข อย่าทำอะไรให้พวกนี้มาอ้าง เอาอำนาจไป แล้วไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น ถ้าปฏิวัติคือคำตอบ ปฏิวัติเกือบ 20 ครั้งแล้ว ประเทศไทยปฏิวัติมากที่สุดในโลก ถ้าปฏิวัติคือคำตอบ ประเทศเราคงเจริญรุ่งเรืองไปแล้ว เราต้องช่วยกันสร้างประชาธิปไตยแบบไทยๆ โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขให้แข็งแรง
ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติจะโยนบาปมาที่นักการเมือง คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า มันเป็นข้ออ้าง เขาจะอ้างอะไรก็ได้ แล้ววันนี้ที่ คสช.ทำอยู่ เป็นคัมภีร์เดียวเลย ที่อยู่มา 4 ปีกว่า 5 ปี และจะขออยู่ต่อไป เขาจะอ้างว่าเพราะบ้านเมืองวุ่นวาย แต่คือคัมภีร์ที่จะให้เขาอยู่ได้ ดังนั้น เราจึงต้องแก้จุดนี้ไม่ให้เขามาอ้าง
“ถ้าเป็นเราจะประกาศเลย ว่าเราจะเคารพกติกาประชาธิปไตย ไม่ว่าผลการเลือกตั้งเป็นอย่างไรก็จะไม่สร้างเงื่อนไข และจะพยายามสุดความสามารถไม่ให้เกิดความวุ่นวายนี้ เราคนไทยดูแลไม่ให้เกิดความวุ่นวายด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้ทหารเข้ามาดูแล เราจะป้องกัน ทำทุกวิถีทางไม่ให้เกิดความวุ่นวาย เราจะบริหารจัดการกันเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้รถถังมา...
หัวหน้าพรรค นายกฯ หญิง ผีทักษิณ
คุณหญิงสุดารัตน์ เน้นย้ำว่า การกลับมา ไม่อยากมีตำแหน่งอะไร เหนื่อย แก่แล้ว มีความสามารถเชี่ยวชาญด้านไหนก็อยากที่จะมาช่วย ไม่ได้ช่วยแค่องค์กรที่อยู่ แต่การเมือง คือ การคิดนโยบาย หากเราช่วยองค์กรเราได้สำเร็จ ก็จะเป็นผลดีกับประชาชน เหมือนตอนทำไทยรักไทย เราทำงานก่อนตั้งพรรค 2 ปี ก่อนกำหนดนโยบายอะไรเรามีผู้เชี่ยวชาญมานั่งถกกัน เพื่อสร้างความยั่งยืน จะมากล่าวหาว่าใช้นโยบายประชานิยม บอกเลยว่า
“30 บาท รักษาทุกโรคไม่ใช่ประชานิยม แต่หลังจากปฏิวัติรอบแรกถึงตอนนี้เป็นประชานิยม แต่พอปฏิวัติปั๊บไม่เก็บ 30 บาทเลย ถามว่าได้คะแนนไหม..ไม่ได้คะแนน 30 บาท คือ การเปลี่ยนระบบสุขภาพให้มีคุณภาพขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ และวันนี้มองเป็นประชานิยม จึงทำให้มันผิดทิศผิดทาง 30 บาท มุ่งสร้างให้คนสุขภาพดีทั่วหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้เราจะเห็นว่าลงทุนน้อยมาก ออกกำลังกาย อาหารปลอดภัย อาหารที่ลดไขมัน ความดัน เบาหวาน สมัยนั้นต่อหัว 1,200-1,300 บาท แต่ปัจจุบันประมาณ 3 พันกว่า แต่คนป่วยมากขึ้น
มองยังไง ที่คุณอภิสิทธิ์บอกว่า เพื่อไทยอยู่ใต้เงาทักษิณ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า คุณอภิสิทธิ์ต้องพูดแบบนี้ ทหารก็ต้องพูดว่าบ้านเมืองวุ่นวาย ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง “ทักษิณยังอยู่ ระบอบทักษิณยังอยู่ ฉะนั้นจะพูดอะไรก็พูดได้ สุดท้ายก็จะขึ้นอยู่กับประชาชน
แล้วจริงๆ แล้ว บทบาทคุณทักษิณ กับพรรคเพื่อไทย เป็นอย่างไร คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ยุคสมัยเปลี่ยน โลกเปลี่ยน กฎหมายเปลี่ยน กฎหมายไม่ได้เปิดโอกาสให้คุณทักษิณทำอะไรได้ เขาก็จ้องยุบพรรคอยู่ พูดตรงๆ คุณทักษิณเองก็เปรียบเสมือนคนทำคลอดพรรคนี้มา เขาคงไม่ได้อยากทำลายพรรคนี้ ถ้างั้นคุณทักษิณก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะกฎหมายห้าม คุณทักษิณเป็นผู้ใหญ่ ก็ทำ
“ถามว่าจะมาครอบงำ ยุ่งเกี่ยวได้ไหม...ทำไม่ได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมายทันที แต่สิ่งที่เราหนีความจริงไม่ได้ แต่ตั้งไทยรักไทยมา ถูกยุบ ถูกเปลี่ยนชื่อไม่รู้กี่ครั้ง แต่มันคือกลุ่มนี้ กลุ่มนี้มีโดยความสำเร็จ จากมันสมองของคุณทักษิณ! เขาเป็นคนทำให้แบรนด์นี้เข้มแข้งในหัวใจคน เพราะผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์กับประชาชน และเมื่อประชาชนซื้อไปใช้คุณภาพดี ติดใจ 12 ปีที่คุณทักษิณไม่อยู่ แต่คนยังจำ และอยากให้คุณทักษิณกลับมา มันเหมือนกับว่า เขาเป็นผู้สร้างองค์กรนี้มา แต่มาโดนตัดสิทธิ์หลายรุ่น แต่เขาก็ยังได้อานิสงส์ของแนวคิดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อมาทำแล้วมีประสิทธิผลต่อประชาชน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีกับประชาชนที่ได้รับ หากพรรคเพื่อไทยจะทำต่อก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่คุณทักษิณไม่สามารถมาชี้ สั่ง ได้แน่นอน เพราะกฎหมายห้าม แต่แนวคิดที่มีประสิทธิภาพที่มีประสิทธิผล ถ้าเราเอามาทำกันต่อแล้วเป็นผลดีกับประชาชนก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร...
ฝ่ายตรงข้ามระบุว่า วังวนความขัดแย้งเพราะคุณทักษิณ คุณหญิงหน่อย ตอบสวนทันทีว่า ไม่มีสงคราม...นักค้าอาวุธไม่มีรายได้ วันนี้ลองดูสิ ถ้าไม่มีคนสร้างภาพหลอนความหวาดกลัวเรื่องความขัดแย้ง แล้วเกิดการปฏิวัติขึ้นมา... เราจะเห็นว่ามีหลายคนเลย ที่ได้ดีตลอดกับการปฏิวัติ แต่ไม่สามารถลงเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนเลือกได้ มันจะมีคนแบบนี้อยู่ ไม่มีสงคราม ก็ขายอาวุธไม่ได้ เราอย่าไปใส่ใจ
แสดงว่ามีคนเบื้องหลังอยู่...ยังถามไม่จบ นักการเมืองหญิงระดับแนวหน้าของไทย กล่าวสวนทันทีว่า ไม่ใช่! ก็เบื้องหน้าตรงๆ นี้แหละ (หัวเราะ) คือ ทหารต้องบอกว่ามีความวุ่นวาย คุณอภิสิทธิ์ ก็ต้องบอกว่ามีผีทักษิณอยู่ ก็เพราะคิดแบบไม่สร้างสรรค์นี้แหละ องค์กรถึงยังไม่โต!
สมมติว่า ขายสินค้าแข่งกัน แต่กลับไม่บอกว่าสินค้าเรามีอะไรดี แต่เรากลับไปบอกว่าบริษัทข้างๆ นี่ชั่วนะ อย่าไปซื้อของเขานะ กินแล้วเป็นพิษนะ เล่นยุทธศาสตร์แบบนี้ สร้างความขัดแย้งวุ่นวายอยู่เรื่อยๆ ในความคิดเรา เราจะบอกว่าเราจะไม่เล่นเกมนี้ เราจะบอกว่าเราจะทำอะไรให้ประเทศ เราจะไม่สร้างความขัดแย้ง มุ่งให้ประเทศมีความสงบ สันติสุข และทุกคนสามัคคี
กลับมาครั้งนี้กลัวเรื่องการตัดสิทธิ์ทางการเมืองหรือไม่ จะกลับไปเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยไหม คุณหญิงหน่อย กล่าวว่า เรื่องความกลัวคงไม่มี ถ้ากลัวก็ไม่ต้องมาทำ เราไม่อยากได้ตำแหน่งอะไร เราเหนื่อย ทำมาเยอะแล้ว เรียกว่า อะไรช่วยได้เราอยากเห็นประเทศเป็นอย่างใด เช่น อยากเห็นการศึกษาดีกว่านี้ ก็จะใส่ผ่านพรรค
จุดสูงสุดในชีวิตการเมือง อยากเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยไหม หรือ นายกฯ หญิงหรือเปล่า...
จุดสูงสุดในการทำงานเราได้มาแล้ว ซึ่งไม่ใช่การเมือง เพราะการเมืองคืออาชีพ โดยเราได้ทำงานจนได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตำแหน่งคุณหญิงได้ เราต้องรักษาตรงนี้ รักษาความภาคภูมิใจ เป็นคุณค่าของสิ่งที่ได้ ต้องทำตัวให้ดี เป็นข้าผู้ซื่อสัตย์ของแผ่นดิน ต้องเป็นผู้ทำประโยชน์ให้เกิดกับสังคม ปกป้องดูแลชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ดีที่สุด
อยากเป็นไหม หัวหน้าพรรค หรือ นายกฯ ประเทศไทย คุณหญิงสุดารัตน์ตอบติดตลกว่า “ยังอยากอยู่ประเทศไทยค่ะ” การเป็นนายกฯ ประเทศไทยไม่ใช่เรื่องสวยหรู และมีความสุข ยิ่งนายกฯ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะเป็นนายกฯ ที่ทำอะไรไม่ได้ด้วยตัวเองเลย น้อยคนนะคะที่อยากเป็นนายกฯ
ถามว่าอยากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนู้นนี้หรือไม่ เชื่อว่าทุกคนอยากเป็น แต่เป็นแล้ว ภาระมี ต้องทำงาน การที่เราจะทำให้เราอยู่ในตำแหน่ง หรือจบในตำแหน่งนั้นได้ สำหรับเราต้องทำผลงาน ทำประโยชน์ให้กับองค์กรที่เราอยู่ แต่สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญทำงานยาก ให้ความสนใจในการแก้ไขระบบตรงนี้ก่อน เราทำงานมาเยอะ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งอะไร ขอแค่ช่วยส่วนรวมได้จะรู้สึกมีความสุขมากกว่าคิดจะต่อสู้เพื่อตำแหน่งต่างๆ
“สำหรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เท่าที่ได้ไปสัมผัสเชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็มีคนที่มีความสามารถเยอะ ใครพร้อมอาสาก็เชื่อว่าทำได้ ไม่หนักใจกับประเด็นนี้ที่จะทำให้เกิดพรรคแตก พรรคอื่นน่าเป็นห่วงมากกว่า"
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่า ไม่ถูกกับตระกูลชินวัตรบางคน จึงทำให้ไม่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้า สุดารัตน์ หัวเราะลั่น ก่อนตอบว่า ที่ผ่านมาไม่เคยถูกเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง การวิจารณ์ไปมาได้ ว่าคนนั้นไม่ถูกคนนี้ คนนี้ไม่ถูกคนนั้น
“ไม่เคยเสนอตัวเป็นแคนดิเดต ในพรรคไทยรักไทย เราไม่ขัดแย้งกับใคร วันนี้ ถามว่าอยากเป็นนู้นนี่มั้ย หรืออยากเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเปล่า ขอบอกเลยว่า เราอยากอยู่เมืองไทย อยากอยู่กับลูก สวนมนต์ไหว้พระในเมืองไทย ไม่มีที่ไหนมีความสุขเท่ากับประเทศไทย”
มองยังไงกับคำพูดว่า ความขัดแย้งจะหมดได้ ก็ต่อเมื่อหมดนักการเมืองรุ่นเก่า คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ก็เห็นด้วยเหมือนกัน “ถ้ามีทักษิณ...ฉันไม่ทำงานด้วย” “เธอแพ้เลือกตั้งอยู่ ก็ไปเรียกทหารมาตั้งรัฐบาลในค่าย...
คนทำงานการเมืองต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง ถ้าปรับไม่ได้ก็ควรถูกกวาดล้างไปเลย...เรื่องนี้เห็นด้วย
ถ้าการเมืองหลังจากนี้ไม่มีคนตระกูลชินวัตร ความขัดแย้งจะหายไปไหม คุณหญิงสุดารัตน์ ตอบว่า ความเป็นจริงความขัดแย้งไม่ได้มาจากตระกูลชินวัตร แต่เนื่องจาก มีคนค้าอาวุธสงคราม ถ้าไม่มีผีทักษิณ ก็ไม่มีโอกาสเข้าสู่อำนาจ ดังนั้น จึงต้องสร้างความน่ากลัวของอันนี้ ยังมีความวุ่นวายเพราะทักษิณอยู่ จะขอรับอาสาเป็นหมอผีมาปราบ หมอผีก็เลี้ยงไข้ พยายามให้มีความน่ากลัวนี้ไว้
มองยังไงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แสดงท่าทีว่าอาจจะลงเลือกตั้ง
“ดีค่ะ” คุณหญิงสุดารัตน์ตอบ ก่อนเสริมว่า ความชัดเจน การที่ พล.อ.ประยุทธ์ อยากกลับเข้าการเมืองถือว่าไม่ผิด เป็นตัวเลือกให้ประชาชนถือเป็นเรื่องดี แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรู้จักความเหมาะสมและหน้าที่ วันนี้ ท่านเข้ามาในฐานะกรรมการกลาง มาบอกว่า “เตะบอลอยู่ 2 ฝั่ง เมื่อดูแล้ว นักบอลกำลังจะตีกัน ฉันมาเป็นกรรมการมาห้าม...แล้วกลับมาออกกฎเกณฑ์พิลึกพิลั่น ขัดต่อหลักนานาชาติก็ทำมาหมด แต่หลังจากนั้น จู่ๆ กรรมการก็จะลงมาเตะบ้าง
ถ้าจะลงมาเตะด้วยให้ลงมาเลย อย่าทำหน้าที่เป็นกรรมการกลาง ถ้าจะทำหน้าที่เป็นกรรมการต้องไม่ลงไปแข่งขัน เลือกแล้วเป็นเรื่องที่ดี ยินดีต้อนรับ ไม่สามารถทำได้ แต่จะแข่งขันคุณต้องไม่ทำตัวเป็นกรรมการ ต้องให้คนอื่นเป็นกรรมการแทน ถ้าเป็นแบบนั้น จะเกิดผลการแข่งขันที่บริสุทธิ์ยุติธรรมได้อย่างไร
ถ้าคุณเตะบอลอยู่ในสนาม และกำลังจะเสียเปรียบคุณวิ่งออกมาเป็นกรรมการเป่านกหวีด เป็นไลน์แมน กรรมการตัดสิน ถ้าคู่แข่งเพลี่ยงพล้ำ คุณลงไปเตะอีก แบบนี้ไม่ได้ คุณต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ควรมาทำงานการเมืองอย่างเปิดเผยสง่างาม ต้องไม่เป็นกรรมการ กฎเกณฑ์ ที่เป็นอำนาจพิเศษอย่าง ม.44 ต้องไม่มี ม.44 ระหว่างการเลือกตั้งแล้ว ต้องมีเสรีภาพที่จะพูดได้
อยากให้เศรษฐกิจเดินหน้า รัฐอย่าทำตัวเป็น "คุณลุงรู้ทุกเรื่อง"
ช่วงท้าย คุณหญิงหน่อยฝากถึงภาครัฐว่า “ถ้าอยากให้ภาคเศรษฐกิจเดินได้ รัฐบาลไม่ต้องยุ่งอะไรกับเขา ภาคเอกชนเขาเก่งอยู่แล้ว อย่าไปยุ่งกับเขาเป็นคุณลุงรู้ทุกเรื่อง ปล่อยให้เขาทำเถอะ ทำอย่างเต็มที่...”
ที่สำคัญประชาธิปไตย คือ โอกาสของประชาชน เมื่อเรามีโอกาสแล้ว รัฐต้องปรับตัวเอง ขอแค่ไม่ไปยุ่งกับเอกชนมาก เป็น “ลุงรู้ทุกเรื่อง” เจ้ากี้เจ้าการทุกเรื่อง เราต้องเปลี่ยนแนวคิดการทำงาน ไม่ใช่เอากฎหมายมาเป็นข้อจำกัด หรือ ข้อบังคับ เพื่อใช้เทคโนโลยีในการทำให้เจริญเติบโต ต้องทำให้กฎหมายนั้นเป็นแรงจูงใจ ใช้เทคโนโลยีและความรู้ในการทำมาหากิน
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน