เรตติ้งกระฉูดทันตาเห็นเลย
นาทีนี้ชื่อของ “4 ขุนพล” ทีมพลังประชารัฐ อย่างนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกฯ มาแรงแซงโค้ง ติดชาร์ตกระแสข่าวการเมือง
ดังกว่าตอนก้มหน้าก้มตาลุยถั่วเข็นครกงานด้านเศรษฐกิจ “ปิดทองหลังพระ” คนจำชื่อไม่ได้
“ยิ่งตียิ่งพอง” ในทางการตลาดจึงถือว่า เข้าเป้าตามยุทธศาสตร์
เช่นเดียวกันในเชิงการเมือง การเปิดหัวพรรคพลังประชารัฐได้เขย่าโมเมนตัม
อย่างแรง ทำให้ขาใหญ่เจ้าถิ่นนั่งไม่ติด ทั้งยี่ห้อประชาธิปัตย์ ค่ายเพื่อไทย ต้องส่งระดับเสือ สิงห์ กระทิง แรด ออกมาไล่ขวิด ไล่งับ เขย่าขวัญรับน้องใหม่
วางก้ามขู่ “มือใหม่” ให้ฝ่อตามฟอร์ม
แต่ลืมไปว่าอีกฝั่งก็มีจอมเก๋าระดับ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ กางปีกประคองอยู่เบื้องหลัง
อย่างที่กัปตันทีมการันตี 4 รัฐมนตรีไม่ต้องลาออก
เพราะจำเป็นต่อการขับเคลื่อนงานทางเศรษฐกิจ
ที่แสบก็คือ “จอมยุทธ์กวง” ย้อนอดีต ย้อนคอหอย สมัยเป็นรัฐมนตรีร่วมอยู่ในรัฐบาลไทยรักไทยกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็อยู่ทำงานจนนาทีสุดท้ายก่อนมีรัฐบาลใหม่
สื่อเป็นนัย ตอนนั้นทีม “นายใหญ่” ก็ไม่ได้แสดงอาการ “ดัดจริต” แต่อย่างใด
มันเป็นอะไรที่ทำมาเหมือนกัน ภายใต้มาตรฐานนักการเมืองสะกดคำว่า “สปิริต” ไม่เป็นอยู่แล้ว ย้อนไปไม่ว่ายุคไทยรักไทยของ “ทักษิณ” รัฐบาลประชาธิปัตย์ สมัย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือล่าสุดรัฐบาลเพื่อไทย “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ลาก “รักษาการ” จนหยาดสุดท้าย
...
การเรียกร้องให้รัฐมนตรีทีมพลังประชารัฐโชว์สปิริตจึงไม่มีน้ำหนัก ไร้ความหมาย
แค่มุกตีกินทางการเมืองง่ายๆไม่ได้ผล เพราะเหลี่ยมทันกัน
ในทางตรงกันข้ามกับความพยายามโชว์ให้เห็นในเชิงปฏิบัติ ล่าสุดกับการตัดชื่อของ 4 รัฐมนตรี ทีมพลังประชารัฐ ออกจากการร่วมคณะที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.จะบินไปตรวจราชการที่จังหวัดลำพูน
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาใช้เวลาราชการแฝงลงพื้นที่หาเสียง
หรือแม้แต่การที่นายอุตตม ปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในประเด็นการเมืองระหว่างการทำงานหน้าที่ รมว.อุตสาหกรรม ในเวลาราชการ
เบื้องต้นก็แสดงให้เห็นถึงการรักษากติกาที่ขีดเส้นตัวเองไว้
ในอารมณ์นักการเมืองไม่เชื่อ แต่ทำให้ประชาชนทั่วไปเห็นเป็นพอ
เอาเป็นว่า ถึงตรงนี้ยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” เดินแต้มได้ตามยุทธศาสตร์ ในสถานะฐานต้นทุนหน้าตักส่วนตัวของ “นายกฯลุงตู่” ในการตีตั๋วต่อ เป็นหลักประกันลูกเขี้ยวของนักการเมือง
ตามยุทธศาสตร์ “ลุงตู่” ต้องถือดุลต่อรองไว้ในกำมือให้ชัวร์สุด
ในสถานการณ์ลุ้นช็อตต่อไป กับ “ตัวแปร” ยี่ห้อประชาธิปัตย์
จากปรากฏการณ์ “ศึกสายเลือด” ที่แรงขึ้นทุกขณะ ตามสไตล์ “ประชาธิปัตย์ฟัดกันเอง”
อารมณ์แบบที่ “มือปราบจำนำข้าว” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก เดินเกมแรง เดินสายขึ้นเหนือ ล่องใต้ ทัวร์อีสาน หาเสียงกับกลุ่มผู้สนับสนุน
โดยมีทีมของ “ลุงกำนัน” อย่างนายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา แกนนำสาย กปปส. คอยประกบเป็นพี่เลี้ยง เชียร์แขกทุกเวที กองหนุนแน่นขึ้นเรื่อยๆ
มอตโต้หาเสียงชัดๆเลือก “อภิสิทธิ์” ได้ “ศิริโชค โสภา” เลือก “หมอวรงค์” ได้ “ถาวร เสนเนียม”
แถมออปชันพิเศษ ประเภทที่การันตี ถ้า “หมอวรงค์” ได้เป็นหัวหน้าพรรค เลือดที่ไหลออกในภาคอีสาน ภาคเหนือ จะไหลกลับประชาธิปัตย์ทันที
อาการเบิ้ลบลัฟหักมุมกันจะจะแบบนี้ หนีไม่พ้น “พรรคแตก”
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือ “หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” ใครชนะก็อยู่บนรอยร้าว
ที่แน่ๆรอยปริแยกจะลากไปถึงการจับขั้วรัฐบาล การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในสถานการณ์ชัดโดยท่าทีของทีมหนุน “หมอวรงค์” สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ตีตั๋วต่อ
โดยรูปการณ์ ยังไง “ลุงตู่” ก็ต้องมีคนประชาธิปัตย์ยกมือหนุน
ลุ้นแค่ว่าจะแซะเป็นกลุ่ม หรือเหมาทั้งพรรค.
ทีมข่าวการเมือง