ออกมาประกาศล่วงหน้าไว้อย่างชัดเจน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันหนักแน่นย้ำแล้วย้ำอีก

ในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ จะนำเรื่องการเสนอยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

ถ้าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการยกเลิกดังกล่าว นั่นก็หมายความว่า

ในวันที่ 22 ธันวาคมเป็นต้นไป กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ

ซึ่งเป็น 4 จังหวัดสุดท้าย ที่ยังอยู่ภายใต้การบังคับใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จะถูกยกเลิกการประกาศเป็นพื้นที่สถานการณ์ฉุกเฉิน

และทั่วประเทศไทยก็จะไม่มีพื้นที่ใดที่มีการบังคับใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอีกต่อไป

เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ผ่อนคลายและมีความสุขกันอย่างเต็มที่ในห้วงเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

ได้ใช้ชีวิตกันภายใต้กฎหมายปกติ ไม่ต้องใช้กฎหมาย พิเศษมาควบคุมดูแลสถานการณ์เหมือนกับช่วง 8–9 เดือนที่ผ่านมา ทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะปกติ

สิ่งเหล่านี้ คือคำยืนยันและความตั้งใจของนายกฯอภิสิทธิ์

แม้ฝ่ายความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. รวมทั้ง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ยังมีความกังวลเรื่องการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย

แต่เมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ยืนยันแข็งขันที่จะให้มีการยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถาน-การณ์ฉุกเฉิน

ทางฝ่ายความมั่นคง ก็ไม่ได้ขัดข้องขัดขวาง

พร้อมจัดทำแผนด้านความมั่นคงเสนอต่อนายกฯนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบ ควบคู่ไปกับการยกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในสถาน-การณ์ฉุกเฉิน

โดยหลักการในการปฏิบัติ ก็คือ หลังจากยกเลิกพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว ทางรัฐบาลจะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่ถือเป็นกฎหมายปกติ

ปรับถ่ายอำนาจให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่มีนายกฯเป็นประธาน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการติดตามสถานการณ์ความสงบเรียบร้อย

หากมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น ก็สามารถที่จะประกาศพื้นที่ความมั่นคง ใช้กำลังทหารออกมาปฏิบัติหน้าที่ช่วยงานตำรวจได้

เหนืออื่นใด หากเกิดสถานการณ์ที่มีความร้ายแรง รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงก็สามารถงัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกมาประกาศใช้รอบใหม่ได้อยู่แล้ว

ทั้งนี้หากมองย้อนกลับไปดูสาเหตุที่รัฐบาลต้องมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นเวลายาวนานเกือบ 1 ปี

ต้นเหตุสำคัญก็เนื่องมาจากการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง ภายใต้การนำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อเดือนเมษายน–พฤษภาคม

ที่ยกพลบุกเมืองหลวง ขับไล่รัฐบาล กดดันให้นายกฯอภิสิทธิ์ยุบสภา โดยเข้ายึดพื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ และแยกราชประสงค์ศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ

ในช่วงแรกที่มีการเคลื่อนไหวของม็อบเสื้อแดง รัฐบาลได้ ประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ไม่สามารถระงับเหตุการณ์ได้

ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มป่วนเมืองใช้อาวุธสงครามยิงถล่มสถานที่ต่างๆ ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจยกระดับการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

ด้วยการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน เพื่อประกาศพื้นที่ภาวะฉุกเฉิน และนำกำลังทหารออกมาระงับเหตุ รักษาความสงบเรียบร้อย

โดยมีการประกาศพื้นที่ภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพ–มหานครก่อน และมีการประกาศเพิ่มพื้นที่ในอีกหลายจังหวัด ทั้งในเขตปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงของกลุ่มคนเสื้อแดง

จนกระทั่งเหตุการณ์ความรุนแรงเริ่มคลี่คลายลงไป จึงได้มีการทยอยยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในต่างจังหวัดทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางบางส่วน

เหลืออยู่เพียง 4 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ที่กำลังจะมีการประกาศยกเลิกทั้งหมดในสัปดาห์นี้

ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเลิกการประกาศ ใช้ภาวะฉุกเฉินทุกพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

ทั้งนี้ การที่นายกฯอภิสิทธิ์เดินหน้าสั่งยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในครั้งนี้

ต้องยอมรับว่าลึกๆแล้ว ไม่ใช่แค่ต้องการให้ประชาชนได้ผ่อนคลาย ฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างมีความสุขเพียงอย่างเดียว

แต่เป็นเพราะถูกกดดันจากหลายฝ่ายให้ยกเลิกภาวะ ฉุกเฉิน เพื่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ขึ้นภายในชาติ

ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับแนวทางตามแผนปรองดองที่นายกฯอภิสิทธิ์เคยประกาศไว้ว่า การจะเดินไปสู่การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ตามที่ฝ่ายต่อต้านต้องการ ต้องอยู่ ภายใต้ 3 เงื่อนไข คือ

1. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น 2. สถานการณ์สงบ ทุกพรรคการเมืองสามารถไปหาเสียงในแต่ละพื้นที่ได้โดยไม่มีความรุนแรง 3. แก้ไขกติการัฐธรรมนูญก่อนไปเลือกตั้ง

มาถึงวันนี้ชัด เจนว่า เศรษฐกิจเริ่มกระเตื้อง โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว แม้ว่าจะเกิดวิกฤติการเมืองในประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวหดหายไป

แต่ล่าสุดตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ในขณะที่ด้านธุรกิจ การค้า การส่งออก และการลงทุนก็คล่องตัวขึ้น

เศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมเริ่มโงหัว

ขณะเดียวกัน จากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.5 เขต 5 จังหวัด ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา ขอนแก่น และสุรินทร์ที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ

สถานการณ์ในการเลือกตั้งโดยรวมแล้วก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายหรือความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น

ผู้สมัครทุกพรรคไปหาเสียงได้ตามปกติ ตามวิถีระบอบประชาธิปไตย

สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อย่างที่เห็นๆ รัฐบาลเสนอ แก้ไข 2 ประเด็น เรื่องการทำหนังสือสัญญาที่ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และแก้ไขระบบเลือกตั้งกลับไปใช้แบบเขตเดียวเบอร์เดียว ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระรับหลักการไปแล้ว

รอเปิดสมัยประชุมรัฐสภาปลายเดือนมกราคมปีหน้า ค่อยไปลุ้นกันว่าจะคลอดออกมาสำเร็จหรือไม่

ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงแม้ยังดำเนินอยู่ แต่ก็เป็นเพียงการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ อยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่มีปัญหาความรุนแรง

สถานการณ์ทุกอย่างเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ที่นายกฯอภิสิทธิ์วางเอาไว้

ที่สำคัญ คณะกรรมการเพื่อการปรองดองสมานฉันท์ ทุกชุดที่นายกฯอภิสิทธิ์เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมากับมือ

ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ เป็นประธาน สมัชชาปฏิรูปประเทศที่มี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นประธาน

รวมทั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหา ความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน

มีความเห็นตรงกันว่า การจะสร้างความปรองดอง ให้เกิดขึ้น รัฐบาลต้องยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นอันดับแรก

ตรงจุดนี้ ถือเป็นปัจจัยเหตุสำคัญที่ทำให้นายกฯอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจยกเลิกการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตาม เมื่อยกเลิกภาวะฉุกเฉินไปแล้ว จะเกิดสถานการณ์ความรุนแรงจนทำให้รัฐบาลต้อง หวนกลับมาประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกหรือไม่

สถานการณ์และเวลาข้างหน้าจะให้คำตอบ

โดยเฉพาะแต่ละขั้วแต่ละฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง จนนำมาสู่วิกฤติความขัดแย้งอย่างรุนแรงของคนในประเทศ

มีความจริงใจที่จะก้าวเข้าสู่ถนนแห่งความปรอง-ดองอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการเดินเกมแฝงเพื่อต่อรองทางการเมือง

เป็นเรื่องที่สังคมต้องติดตามพฤติกรรมกันต่อไป

แต่ที่แน่ๆภายใต้ปรากฏการณ์ที่นายกฯอภิสิทธิ์ เดินหน้ายกเลิกการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินครั้งนี้ ย่อมมีทั้งฝ่ายที่พอใจและไม่พอใจ

พวกที่สมประโยชน์จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง พวกที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่มีการประกาศ ใช้   พ.ร.ก.ฉุก-เฉิน รวมไปถึงพวกที่ไม่อยากให้เกิดความปรองดอง เพราะตัวเองกลัวเสียผลประโยชน์ ก็คงไม่อยากให้ยกเลิก

ซึ่งก็รวมไปถึงคนในรัฐบาลบางส่วน ที่อยากเป็นรัฐบาลลากยาวไปจนครบเทอม ไม่อยากให้มีการยุบสภาเร็วเกินไป เพราะได้ผลประโยชน์จากอำนาจรัฐ

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกฯ ที่ถือเป็นต้นตอแห่งวิกฤติความขัดแย้ง จะมี ความจริงใจกับแนวทางที่จะนำไปสู่ความปรองดองครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน

หรือหวังแค่รอจังหวะให้สถานการณ์เปิดช่อง เพื่อใช้เครือข่ายเคลื่อนไหวซ้ำรอยเดิม เพื่อกดดันต่อรองในสิ่งที่ต้องการ

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ยังต้องรอพิสูจน์ เพื่อหาคำตอบสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม "ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ" ขอชี้ว่า การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในครั้งนี้ ถือเป็นขั้นตอนที่จะปูทางไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ นำไปสู่ความสงบและความปรองดองภายในประเทศอย่างที่ทุกฝ่ายต้องการ

เปรียบไปแล้วก็เหมือน แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีเสียงของนายกฯอภิสิทธิ์ที่ออกมายอมรับว่า มีรายงานด้านการข่าวในช่วงเทศกาลปีใหม่ มีคนบางกลุ่มเตรียมก่อเหตุร้ายสร้างสถานการณ์รุนแรง

ทำให้ผู้ที่อยากเห็นความสงบและความปรองดอง ต้องผวากันอีกรอบ.

...

"ทีมการเมือง"